จักษุแพทย์หลี่ เหวินเลี่ยง เสียชีวิตในวัย 34 ปี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้ภาพวาดจากคนจีนมากมายที่เรียกเขาว่าเป็น “วีรบุรุษผู้เสียสละชีวิตเพื่อเตือนภัยคนอื่น”
วันนี้คุณหมอได้กลายเป็นตัวอย่างของคนกล้าที่บอกความจริง ทั้งๆ ที่เสี่ยงภัยกับตัวเอง...จนเอาชีวิตไม่รอด
คนจีนทั่วประเทศออกมาแสดงความชื่นชมในความดีงามและความทุ่มเทอุทิศตนเพื่อคนอื่นในการส่งสัญญาณเตือนภัยเรื่องโรงระบาดไวรัสอู่ฮั่นก่อนใคร...
แต่กลายเป็นเหยื่อของระบบสังคมจีนที่สกัดกั้นข่าวคราวที่เป็น “ภัยต่อความมั่นคง” ของผู้มีอำนาจในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Caixin ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 มกราคม (ก่อนเขาเสียชีวิตประมาณหนึ่งสัปดาห์) หมอหลี่ได้เล่าถึงตอนที่ถูกเจ้าหน้าที่เรียกไป “สารภาพความผิด” ก่อนที่ “ความผิด” นั้นจะกลายเป็น “ความจริง” ที่คุกคามคนทั่วโลกวันนี้
เขาเล่าว่าหลังจากที่ข้อความที่เขาโพสต์ขึ้นไปเตือนเพื่อนหมอในกลุ่มแช้ตส่วนตัวเรื่องนี้ ก็มีคนแคปบางตอนที่ไม่ครบถ้วนส่งต่อๆ กันไป จนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเรียกเขาไปสอบสวน
“หลังจากข้อความการเตือนของผมแพร่หลายออกไปทั่ว คณะกรรมการสุขภาพของเทศบาลอู่ฮั่นเรียกประชุม ผมถูกโรงพยาบาลขอให้อธิบายที่มาที่ไปของข้อมูลนั้น เมื่อไปถึงที่ทำงานเช้านั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายวินัยของโรงพยาบาลก็พูดคุยกับผมอีกรอบ ถามถึงที่มาของข้อมูล และถามผมว่ารู้ไหมว่าไม่ว่าผมได้กระทำความผิดพลาดแล้ว...”
หมอหลี่คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะไม่จบแค่นั้น
“ผมไม่คิดว่าตำรวจจะตามตัวผม พอถึงวันที่ 3 มกราคม ตำรวจก็เรียกตัวผมไป บอกให้ผมเซ็นชื่อในเอกสารตักเตือน ความที่ผมไม่เคยมีปัญหากับตำรวจมาก่อน ก็จึงรู้สึกกังวลพอสมควร ผมไม่ได้บอกที่บ้านว่าผมจะไปลงชื่อในเอกสารทางการ อีกทั้งผมก็กังวลว่าโรงพยาบาลจะลงโทษผมด้วย เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะกระทบหน้าที่การงานของผม ต่อมา เพื่อนสมัยเรียนหนังสือด้วยกันคนหนึ่งรู้เรื่องนี้เข้า ก็แนะนำให้ผมไปคุยกับนักข่าวคนหนึ่ง...” หมอหลี่ลำดับเรื่องให้ฟังอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
หนังสือตักเตือนของตำรวจนั้นระบุว่า หมอหลี่ เหวินเลี่ยง ได้ทำการเผยแพร่ “ข้อความอันเป็นเท็จในโลกออนไลน์”
หมอหลี่บอกว่า
“ผมไม่คิดว่ามันเป็นข่าวลือ เพราะผลตรวจออกมาค่อนข้างชัดว่าคล้ายกับโรคซาร์ส ความจริงผมเพียงต้องการจะเตือนเพื่อนๆ ให้ระวังตัว แต่ไม่ต้องตื่นตระหนกเท่านั้น...”
เมื่อเจอสภาพเช่นนั้น หมอหลี่คิดจะต่อสู้ทางกฎหมายหรือไม่?
เขาตอบอย่างไม่ลังเลว่าไม่
“ไม่ ผมกลัวว่าหากผมต่อสู้ทางกฎหมายอาจจะกลายเป็นปัญหาตามมา ผมไม่อยากมีเรื่องกับตำรวจอีก ผมไม่อยากมีความยุ่งยาก การจะเรียกคืนชื่อเสียงนั้นสำหรับผมแล้วไม่สำคัญ ที่สำคัญกว่าคือประชาชนควรรู้ข้อเท็จจริง ความยุติธรรมอยู่ในใจของพวกเขาอยู่แล้ว“
หมอหลี่บอกว่าด้วยว่า บางคนได้ข่าวว่าผมถูกถอนใบประกอบโรคศิลปะ ซึ่งไม่เป็นความจริง
แต่หมอหลี่ก็ไม่ได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวเสียเลยทีเดียว
ต่อมาวันที่ 28 มกราคม ศาลสูงสุดของจีนได้เผยแพร่ความเห็นผ่าน WeChat ว่า การลงโทษชาวเมืองอู่ฮั่น 8 คน โดยไม่ได้ระบุชื่อว่าหมอหลี่ เหวินเลี่ยง ฐาน “เผยแพร่ข่าวลือ” นั้นไม่ใช่เรื่องเหมาะสม เพราะข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้เป็นเท็จทั้งหมด มีส่วนที่เป็นความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะด้วย
หมอหลี่บอกว่า “หลังจากที่ได้อ่านบทความนั้นของศาลสูง ผมรู้สึกโล่งใจ และไม่กังวลแล้วว่าทางโรงพยาบาลจะดำเนินการกับผมอย่างไร ผมเชื่อว่าในสังคมที่เข้มแข็ง ควรมีมากกว่าเสียงเดียว ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจแทรกแซงมากเกินไป ผมยังเห็นด้วยกับบทความศาลสูงที่ว่า ควรพิจารณาการแพร่ข่าวลือเป็นรายๆ ไป ผมไม่สนใจว่า ผมเป็น 1 ใน 8 นี้หรือไม่ เพราะโพสต์ที่ถูกแชร์มากที่สุดในโลกออนไลน์และถูกยกขึ้นมาอ้างในบทความของศาลสูงก็คือภาพหน้าจอโพสต์ดั้งเดิมของผมเองนั่นแหละ”
หมอหลี่ถูกถามว่ามีความรู้สึกอย่างไรกับสมญานามว่าเขาเป็น “คนเป่านกหวีด” หรือผู้เตือนภัยคนอื่นในสังคม (whistle-blower)
“ผมไม่คิดว่าควรได้ตำแหน่งนี้ ผมเป็นเพียงแค่คนรู้ข้อมูล และเตือนเพื่อน ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น”
นักข่าวถามตอนนั้นว่าเขามีแผนจะทำอะไรต่อไป
หมอหลี่บอกว่า “หลังจากหายป่วยแล้ว ผมจะกลับไปอยู่แนวหน้า เพราะตอนนี้โรคระบาดยังแพร่อยู่ ผมไม่อยากทิ้งหน้าที่ของผม”
ครอบครัวของเขาเป็นอย่างไรหรือ
“ภรรยาของผมอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเธอในอีกเมืองหนึ่ง เธอกลับมาไม่ได้ เพราะเมืองอู่ฮั่นถูกปิดแล้ว พ่อแม่ของผมน่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ในไม่ช้า แต่ผมยังหาคนไปช่วยเหลือพวกท่านไม่ได้ แต่โดยรวมแล้ว สุขภาพของท่านทั้งสองอยู่ในเกณฑ์ดี น่าจะดูแลตัวเองได้ ตอนที่ผมคุยโทรศัพท์กับท่านทั้งสอง ก็ฟังดูสบายดี และเคลื่อนไหวไปมาได้ด้วยตัวเอง...”
ขณะให้สัมภาษณ์หมอหลี่ยังไม่รู้ว่าอีกประมาณ 2 สัปดาห์ต่อมา เขาก็ต้องจากโลกนี้ไปท่ามกลางความโศกสลดของคนทั่วโลก
แต่ความตายของหมอหลี่จะเป็นบทเรียนสำหรับผู้มีอำนาจของจีนมากน้อยเพียงใดยังเป็นปริศนาไปอีกนานแสนนาน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |