"โรม" ประกาศนำ "อยากเลือกตั้ง" เดินจาก มธ.ไปหน้า ทบ. เรียกร้องยุบ คสช. หลังศาลทหารขอนแก่นให้ประกันตัว "โฆษก กห." เชื่อกฎหมายปกติเอาอยู่ ไม่ใช่ชุมนุมใหญ่ 

    เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ศาลทหาร มณฑลทหารบกที่ 23 (มทบ.23) จ.ขอนแก่น พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ได้ควบคุมตัวนายรังสิมันต์ โรม ผู้ต้องหาในคดีฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12 ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จากการจัดกิจกรรม “พูดเพื่อเสรีภาพรัฐธรรมนูญกับคนอีสาน” ที่ อาคารจตุรมุข คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2559 มารายงานตัวตามคำสั่งศาล ขณะเดียวกัน ศาล มทบ.23 ยังได้เบิกตัวนายนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน จากทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น มาเพื่อตรวจพยานเอกสารจำเลยในคดีเดียวกันด้วย ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของกำลังสารวัตรทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนมาก 
    อย่างไรก็ตาม คณะตุลาการศาลทหารมีคำสั่งรับฟ้อง พร้อมให้ประกันตัวนายรังสิมันต์ด้วยหลักทรัพย์ 10,000 บาท หลังจากทีมทนายความยื่นขอประกัน จนกระทั่งเวลา 15.00 น. ศาลทหารได้ปล่อยตัวนายรังสิมันต์ 
    นายรังสิมันต์กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ได้ร่วมกับไผ่ ดาวดิน จัดกิจกรรม “พูดเพื่อเสรีภาพรัฐธรรมนูญกับคนอีสาน” ซึ่งตรงกับช่วงรณรงค์โหวตโน เป็นการออกมาแสดงจุดยืนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งกรณีของตนแตกต่างจากคนอื่น และเพิ่งทราบว่าถูกดำเนินคดี เพราะไม่เคยได้รับหมายเรียกมาก่อน มาทราบตอนที่ถูกอายัดตัวไปเมื่อเดือนที่แล้ว ทั้งนี้ ศาลมีคำสั่งให้ประกันตัวในวงเงิน 10,000 บาท ได้มีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ และห้ามจัดกิจกรรมยุยง ปลุกปั่น กระด้างกระเดื่อง และนัดให้มาสอบคำให้การนัดแรกในคดีขัดคำสั่ง คสช. ในวันที่ 7 พ.ค.2561
    "ไม่หนักใจในคดีที่เกิดขึ้น จากนี้ไปต้องแยกออกเป็นการดำเนินการตามคำสั่งศาลหรือคดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้น และการจัดกิจกรรมต่างๆ ตามแนวทางของกลุ่มที่ได้กำหนดไว้ โดยที่ในวันที่ 24 มี.ค.ยังคงยืนยันในการเป็นแกนนำเดินจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มายังกองทัพบก เพื่อเดินขบวนรณรงค์และการจัดกิจกรรมตามกำหนดการเดิมกำหนด แม้จะมีคำสั่งศาล ระบุไว้ก็ตาม
    นายรังสิมันต์กล่าวต่ออีกว่า ในการจัดกิจกรรมด้วยการเดินรณรงค์ครั้งนี้ เป็นการแสดงออกใน 3 ประเด็นหลัก คือการเรียกร้องให้รัฐบาล และ คสช.คืนประชาธิปไตย ให้เข้าสู่ขั้นตอนและการจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว เพราะกองทัพบกนั้นคือที่ตั้งและที่ทำงานของ คสช. และการเรียกร้องให้มีการยุบ คสช. โดยในการยุบ คสช.นั้น หลายคนบอกว่าทำไม่ได้ แต่ในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงนั้นทำได้ คือการที่ คสช.พร้อมใจกันลาออก และให้เกิดรัฐบาลรักษาการ เพื่อให้มีการจัดการเลือกตั้ง และข้อเรียกร้องสุดท้าย ยังคงไม่ขอเปิดเผยในตอนนี้ เพราะเกรงว่าจะถูกขัดขวางการจัดกิจกรรมในทุกรูปแบบ
    พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการนัดชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันที่ 24 มี.ค. ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ ให้เจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายปกติไป ผู้ชุมนุมต้องไม่ทำผิดกฎหมาย และไม่ทำสิ่งใดที่ไปกระทบต่อคนอื่น หรือไม่ทำสิ่งใดที่จะนำมาสู่ความขัดแย้งในสังคม โดยผู้ชุมนุมต้องดูแลด้วยว่าจะต้องไม่ให้มีใคร หรือมือที่สามมาแทรกแซงจนเกิดปัญหาความวุ่นวาย
    ผู้สื่อข่าวถามว่า หากกฎหมายปกติเอาไม่อยู่ จำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษมาดำเนินการหรือไม่ พล.ท.คงชีพกล่าวว่า ไม่น่าจะเอาไม่อยู่ คงไม่ถึงขนาดเป็น สเกลใหญ่ขนาดนั้น เชื่อว่ากฎหมายปกติน่าจะใช้ได้ ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยไปจำกัดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม เพียงแต่อย่าเกินขอบเขตของกฎหมาย อย่าลืมว่าเรามีบทเรียนมาแล้ว พยายามควบคุมสถานการณ์ตรงนี้ไว้ วันนี้ใครทำอะไรสังคมรับรู้หมด สังคมฉลาดพอที่จะพิจารณาใคร่ครวญได้ว่าอะไรถูกต้องหรือเป็นประโยชน์กับประเทศชาติหรือไม่ ยิ่งขณะนี้ใกล้เลือกตั้ง กฎหมายเลือกตั้งใกล้เสร็จสิ้น หากกฎหมายเลือกตั้งออกมาแล้ว ใครที่พูดอะไรกระทบต่อกฎหมายเลือกตั้งพรรคนั้นต้องรับผิดชอบ มีโทษถึงขั้นยุบพรรค
      พล.ท.คงชีพกล่าวว่า สังคมต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องว่ามีเบื้องหน้า เบื้องหลังอะไรหรือไม่ มีเจตนาบริสุทธิ์หรือไม่ อย่างไร   จะผลักให้ภาครัฐดูอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วประชาชนจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเขาเข้ามาในสภา หรือเพื่อเข้ามาบริหารประเทศ เมื่อถามถึงข่าวกลุ่มผู้ชุมนุมจะพยายามจะใช้วิธีล่อให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงหากเกิดการปะทะกันเพื่อให้เข้าทาง พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า เรื่องนี้เจ้าหน้าที่เขาเข้าใจดีอยู่แล้ว เพราะเราอยู่ในบริบทของสังคมที่มีความเคลื่อนไหว การประท้วง เรียกร้องมาตลอด 10 ปี เขามีบทเรียนอยู่แล้ว ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่าในยุคสมัยนี้ไม่อยากให้มีม็อบแล้วนั้น ถ้ามาก็ต้องมีเหตุผลชัดเจน เพราะภาครัฐเองพยายามดูแลแก้ปัญหาที่ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ มีอะไรพูดคุยกันได้.