ชมวัด-เดินถนนที่เมืองคุนหมิง


เพิ่มเพื่อน    

(บัญญัติสิบประการที่ชนทุกชาติล้วนถวิลหา)

    อากาศหนาวยามเช้าตรู่ทะลุทะลวงเข้าไปภายในห้องพัก ปลุกให้ผมตื่นขึ้น หยิบกางเกงขายาวและแจ็กเกตมาสวมใส่ ฉวยกระเป๋าตังค์ข้างๆ หมอนแล้วเดินออกจากห้อง ผ่านล็อบบี้ลงบันไดไปบนถนน ถึงตอนนี้ผมเข้าใจ ไม่เพียงอากาศหนาวที่ปลุกให้ตื่น ความหิวก็มีส่วน
    ไม่ห่างจากที่พักย่านสถานีรถไฟคุนหมิง ร้านแมคโดนัลด์ตั้งอยู่ที่หัวมุมถนนทำเลดี มันช่วยได้มากในเมืองที่เราสื่อสารกับคนท้องถิ่นไม่ค่อยเข้าใจภาษา เพราะแค่ชี้ไปที่รูปภาพก็ได้อาหารมาใส่ท้อง ดูเหมือนคิดสั้น ไร้รสนิยม แต่มันก็บรรลุผลรวดเร็ว และยิ่งเป็นเมืองที่หาร้านกาแฟยาก ก็ยิ่งช่วยประหยัดเวลา หมดเบอร์เกอร์ไก่และอเมริกาโน่ร้อนผมก็พร้อมสำหรับครึ่งแรกของวัน
    หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการหาและกดเอทีเอ็มด้วยบัตรเดบิตพิเศษทั่วละแวกสถานีรถไฟ กินพื้นที่สี่ห้าตารางกิโลเมตร (ตามที่ได้อธิบายไปในตอนที่แล้ว) ผมก็เดินกลับโฮสเทล ได้สนทนากับหนุ่มใหญ่จากมาเลเซียผู้มีเชื้อสายจีน พูดจีนได้ และภาษาอังกฤษเป็นเลิศ
    เขาพักที่นี่เมื่อคืนและกำลังจะเดินทางไปซาปา ประเทศเวียดนาม มีตั๋วรถไฟจากคุนหมิงล่องไปเหอโข่วเรียบร้อยแล้ว ออกเดินทางเวลา 11 โมงนิดๆ ถึงเหอโข่วบ่าย 3 โมง เขารู้ว่าเมื่อวานนี้ผมมาจากทิศทางนั้นก็สอบถามวิธีการเดินทางไปยังซาปา เขาทราบเพียงว่าสถานีรถไฟเหอโข่วเหนือไม่ได้อยู่ติดกับด่านชายแดน พอผมบอกเขาว่าน่าจะห่างกันประมาณ 5-6 กิโลเมตร เขาวางแผนจะเดิน กล่าวขึ้นว่า “การเดินเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับผม” และ “ผมมีแผนที่ Maps.Me ดาวน์โหลดไว้แล้ว” แอปพลิเคชันนี้สามารถดูแผนที่โดยไม่ต้องใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่ต้องดาวน์โหลดแผนที่ของเมืองหรือประเทศต่างๆ มาไว้ในมือถือเสียก่อน
    ผมบอกให้เขาระวังเรื่องเวลาด่านปิดทำการ และให้ข้อมูลว่าผมนั่งแท็กซี่จากด่านชายแดนเหอโข่ว (จีน-เวียดนาม) ไปยังสถานีรถไฟเหอโข่วเหนือราคาแค่ 20 หยวนเท่านั้น หากนั่งจากสถานีรถไฟไปด่านชายแดนก็คงไม่ต่างกัน เขาจึงยอมรับว่าถ้าค่าโดยสารแท็กซี่เป็นไปตามนี้เขาก็จะใช้บริการ สูบบุหรี่หมดไป 2 มวนระหว่างที่เราคุยกัน เขาก็เอาเป้ขึ้นหลัง เดินไปสถานีรถไฟคุนหมิง ส่วนผมอาบน้ำอาบท่าแล้วก็เดินออกไปบนถนน Beijing ซึ่งเป็นถนนใหญ่พุ่งตรงออกมาจากสถานีรถไฟคุนหมิง รถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงินอยู่ข้างใต้ถนน Beijing นี้  

(ถนน Beijing พุ่งออกมาจากสถานีรถไฟคุนหมิง)

    รถไฟใต้ดินในเมืองคุนหมิงปัจจุบันเปิดให้บริการ 3 สาย คือ สายสีน้ำเงินและสายสีแดง ที่เชื่อมต่อกันเกือบเป็นเส้นตรงเหนือ-ใต้ ส่วนสายสีน้ำเงินอมเขียวนั้นเป็นสายที่เชื่อมสนามบินกับเขตเมือง อยู่ทางด้านขวามือในแผนที่ ไม่เชื่อมกับ 2 สายข้างต้น นอกจากนี้ก็ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกหลายสาย
    ผมเดินราว 500 เมตร กว่าจะถึงสถานี South Ring Road ค่าโดยสารไปยังสถานี Chuanxin Gulou ซึ่งอยู่ห่างออกไป 4 สถานีแค่ 2 หยวนเท่านั้น การซื้อตั๋วก็ซื้อจากตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติเข้าใจได้ง่ายด้วยภาษาอังกฤษ ออกจากสถานี Chuanxin Gulou เดินไปทางทิศตะวันตกบนถนน Yuantong ข้ามแม่น้ำ “พันหลงเจียง” ไปสักพัก รวมระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรก็ถึง “วัดหยวนทง” อยู่ทางด้านขวามือ

    หน้าวัดมีหมอดูปูผ้ารอคนร้อนใจอยากรู้อนาคตอยู่หลายเจ้า ชาวต่างชาติพูดภาษาจีนไม่ได้อย่างผมไม่ใช่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างแน่นอน ผมเดินไปซื้อตั๋วจากเคาน์เตอร์ใกล้ประตูวัดราคา 6 หยวน แล้วนำไปให้ลุงที่ยืนคุมอยู่หน้าประตูตรวจสอบ
    วัดหยวนทงตามประวัติที่ผมได้อ่านมาระบุว่า แรกเริ่มเดิมทีเป็นศาลเจ้าแม่กวนอิม สร้างขึ้นมานานกว่า 1,200 ปี ในสมัยยังเป็นอาณาจักรน่านเจ้า เมื่อเป็นศาลเจ้าจึงไม่ได้สร้างอยู่บนภูเขาเหมือนวัดทั่วไป ทว่ามีเนินเขาอยู่ด้านหลัง และถัดจากเนินเขานี้ไปปัจจุบันก็คือสวนสัตว์คุนหมิง
    วัดได้ถูกทำลายในสมัยราชวงศ์หมิง และเมื่อแมนจูเข้ามายึดอำนาจจากราชวงศ์หมิงและตั้งเป็นราชวงศ์ชิงก็ได้ส่งอ๋องชื่อ “อู๋ซานกุ้ย” ผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนขายชาติ เปิดประตูให้แมนจูรุกราน เข้ามาปกครองมณฑลทางใต้ของจีน จากนั้นอู๋ซานกุ้ยได้บูรณะวัดแห่งนี้ขึ้น
    เมื่อเข้าประตูวัดไปก็พบกับวิหารพระสังกัจจายน์ โดยรูปปั้นพระสังกัจจายน์ไม่ได้สมบูรณ์ลงพุงตามที่เคยเห็นทั่วไป อีกทั้งพระพักตร์ก็ไม่ได้ยิ้มแย้ม หากแต่ดูสงบผ่องใส ชาวจีนและนักท่องเที่ยวต่างชาติจุดธูปเป็นกำมือไหว้ 4 ทิศขอพรอยู่ด้านนอก อีกด้านของวิหารมีองค์เทพอุยโถวทำหน้าที่ปกปักษ์พิทักษ์วัดหยวนทง โดยหันหน้าไปทางวิหารใหญ่

(ศาลาแปดเหลี่ยมกลางสระมรกตวัดหยวนทง เมืองคุนหมิงประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมพันกรและเจ้าแม่กวนอิมหยก)

    แต่ก่อนจะถึงวิหารใหญ่ก็มีสระน้ำมรกต กลางสระมีศาลาแปดเหลี่ยม สะพานหินเชื่อมจากฝั่งวิหารพระสังกัจจายน์ไปยังศาลาและเชื่อมจากศาลาไปยังลานหน้าวิหารใหญ่ ด้านข้างทั้ง 2 ด้านของสระน้ำเป็นเฉลียงทางเดินและอาคารไม้แบ่งเป็นห้องๆ เรียงอยู่ติดกัน ในศาลาแปดเหลี่ยมประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมพันกร และเจ้าแม่กวนอิมหยกแบบพม่า ทราบว่าพรยอดนิยมที่คนมาขอแล้วสมหวังก็คือขอคู่และขอบุตร

(วิหารใหญ่วัดหยวนทง มี 3 ประตู สำหรับกราบสักการะพระพุทธเจ้า 3 องค์)

    หน้าวิหารใหญ่มีคณะทัวร์จากเมืองไทยกำลังเดินวนขวารอบเสาสวยคล้ายเจดีย์กลางลานต้นหนึ่ง สูงราว 4 เมตร ผมได้ยินมัคคุเทศก์บอกว่าจะมีโชคลาภ สำหรับวิหารใหญ่มี 3 ประตู ประดิษฐานพระพุทธเจ้า 3 องค์ ได้แก่ พระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยทางวัดไม่อนุญาตให้เข้าไปภายใน คงเก็บของเก่าสูงค่าไว้มากมาย สามารถกราบไหว้สักการะจากด้านนอก ลุงฝรั่งคนหนึ่งกราบไหว้ครบทั้ง 3 องค์ และหย่อนเงินบริจาคลงในตู้ทั้ง 3 ใบ
    ด้วยความบุญน้อย ผมวนไปทางด้านซ้าย เดินบนเฉลียงทางเดิน แล้ววนไปจนรอบสระมรกต แต่ไม่ได้เดินไปด้านหลังวิหารใหญ่ เพราะไม่ทราบว่ามีวิหารอีกหลัง ภายในประดิษฐาน “พระพุทธชินราช” องค์จำลองจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้วัดหยวนทงเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีไทย-จีน พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้อัญเชิญมาเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นพระพุทธรูปองค์แรกของไทยในแผ่นดินจีน
    ในปีกด้านหนึ่งของวิหารพระพุทธเจ้า 3 องค์ได้ติดภาพถ่ายขนาดใหญ่ พระสงฆ์จำนวนหลายร้อยรูปในพิธีถวายสังฆทานนานาชาติ โดยพระธรรมาจารย์ ชุน ฝา เจ้าอาวาสวัดหยวนทง ร่วมกับโครงการศูนย์พุทธวิปัสสนานานาชาติ ณ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระบุวันที่ 23 ตุลาคม 2556 แสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดของพุทธศาสนา 2 นิกาย แบบไทยและจีนเป็นอย่างดี ระหว่างเดินออกจากวัด ตรงลานหน้าวิหารพระสังกัจจายน์ ผมเจอกลุ่มทัวร์ไทยอีกคณะหนึ่ง

(ร้านนี้มีตำนาน ร้านชากึ่งพิพิธภัณฑ์ในละแวกอาคารโบราณ เขตอู่หัว)


    เวลาประมาณบ่าย 3 โมงตอนที่ผมออกจากวัด ดูแผนที่ในมือถือ ถนนคนเดิน Nanping Street ย่านใจกลางเมือง เขตอู่หัว อยู่ห่างออกไปทางใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร นึกถึงคำพูดของหนุ่มใหญ่ชาวมาเลย์ “Walking is a small issue for me” ตอนที่เขาตั้งใจจะเดินประมาณ 5 กิโลเมตรเมื่อเช้านี้ ผมขึ้นรถเมล์ในคุนหมิงไม่เป็น และความจริงก็เดินเป็นปกติอยู่แล้วจึงออกเดินไปตามแผนที่
    ร้านกาแฟตามเส้นทางเดินในช่วงต้นไม่มีให้เห็นเลย มีแต่ร้านชา จึงยอมเข้ามินิมาร์ทซื้อกาแฟแบบขวด เดินเข้าร้านเบเกอรี่ติดๆ กันซื้อขนมมานั่งกินกับกาแฟที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ริมทาง เท่ากับนี่คืออาหารมื้อกลางวัน

(ระหว่างทางเดินจากวัดหยวนทงไปยังย่านการค้าใจกลางเขตอู่หัว เมืองคุนหมิง)

    เดินอีกพักใหญ่ก็เข้าสู่ย่านการค้า ถนนกว้างขวาง สะอาด ไม่เหม็นควันรถ มอเตอร์ไซค์ส่วนใหญ่ใช้ไฟฟ้า ใจกลางเขตอู่หัวห้ามรถผ่าน มีถนนช็อปปิ้งหลายเส้น ในเส้นที่มีกลุ่มอาคารไม้โบราณไม่ห่างจากอนุสาวรีย์วีรชนชาวยูนนานนั้นน่าใช้บริการมาก มีทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และคาเฟ่ ที่ปูผ้าขายเครื่องประดับแบกะดินก็มี  
    ผมไม่ได้ซื้ออะไรสักอย่าง เดินไปเดินมาไปออกลานตรงสี่แยกกว้างขวาง อาคารสมัยใหม่รูปทรงสวยงามล้อมรอบอยู่ทุกด้าน มีป้ายขนาดยาวเป็นฉากหลังอยู่ด้านหนึ่งให้คนถ่ายรูป เขียนว่า “ฉันรักอู่หัว”, “ฉันรักคุนหมิง”, “ฉันรักยูนนาน” และ “ฉันรักเมืองจีน” เรียงกัน ผมเดินไปหยอกล้อกับเด็กชายวัยประมาณ 2 ขวบ หัวกลมและเกลี้ยงเหมือนหลวงจีนน้อย แม่ของเขาก็เชียร์ให้เขาโพสท่าตอนที่ผมขอถ่ายรูป แต่หลวงจีนทำหน้ายียวน ยืนกวนโอ๊ยเหมือน “อี้หลง” นักมวยกังฟูชื่อดังของจีนที่ชอบชกกับนักมวยไทย  

(ส่วนปลายด้านตะวันตกของถนนคนเดินในเขตช็อปปิ้งหนานปิง)

    ถนนหนานปิงทอดยาวในแนวตะวันตก-ตะวันออก มีประติมากรรมหลายชิ้นตั้งอยู่คอยสนับสนุนเสริมสร้างให้บรรยากาศการจับจ่ายคึกคัก ที่หัวถนนมีสวนดอกไม้สีสันสวยหวาน ภาพยามเย็นที่ดูสดใสของผมสะดุดลงไปบ้างเมื่อเด็กชายตัวจิ๋วยืนที่ขอบรั้วเตี้ยๆ ของสวนแล้วฉี่ใส่มวลดอกไม้โดยผู้เป็นแม่คอยพยุงไม่ให้ฉี่เลอะกางเกง
    ผมนั่งพักจนอาการปวดเท้าบรรเทาลงไปก็เดินต่อไปทางทิศใต้จนใกล้ถึงจัตุรัสจินปี จัตุรัสนี้ขึ้นชื่อเพราะซุ้มประตูเก่าแก่อายุราว 400 ปี มี 2 ซุ้มประตู ได้แก่ ซุ้มประตูม้าทองและซุ้มประตูไก่สีหยก ตั้งเว้นระยะกันในแนวตะวันออก-ตะวันตก เวลานี้ถ่ายรูปไม่สวย เพราะภาพการก่อสร้างและรถเครนมาเข้าเฟรมด้วย หากข้ามถนนไปก็จะเป็นถนนคนเดินมีชื่ออีกแห่งหนึ่ง แต่ผมตัดสินใจเดินวกขึ้นเหนือผ่านสวนสาธารณะจินปี หาร้านเคเอฟซีตามที่ระบุในแผนที่กูเกิล แต่เดินไปแล้วโดนหลอก ร้านอาจจะปิดกิจการไปแล้ว เดินไปอีกสาขาไม่ไกลกันก็โดนหลอกอีก จึงเดินตัดไปออกถนน Beijing แล้วลงรถไฟฟ้าที่สถานี Dongfeng Square นั่งไป 2 สถานีถึงสถานี South Ring Road ในเขตกวนตู ขึ้นมานั่งพักที่หน้าอาคารหลังหนึ่งและกินขนมที่เหลือจากร้านเบเกอรี่

(จักรยานยนต์พร้อมชุดผ้านวมไว้ป้องกันลมหนาวยามขับขี่และความเข้ากันได้ดีระหว่างอาคารไม้โบราณกับตึกสูง)

    จากนั้นเดินต่อไปจนใกล้สถานีรถไฟคุนหมิง เห็นร้านอาหารที่กับข้าวทำใส่จานไว้แล้วเป็นแถวยาว แต่ละเมนูมีหลายจาน มีการอุ่นร้อนอยู่ตลอด แบบนี้แนวถนัด เพราะไม่ต้องสั่งให้เสี่ยงเข้าใจผิด ผมหยิบปลานึ่งซีอิ๊วมา 1 ตัว ผัดผักกาดขาว 1 จาน ชี้ให้พนักงานตักข้าวสวย จากนั้นหยิบน้ำเปล่าเดินไปจ่ายเงิน ทั้งหมดแค่ 23 หยวน หรือราวๆ 100 บาทเท่านั้น รสชาติก็ดี มีปลั๊กให้เสียบชาร์จมือถือ แต่ไม่มีกระดาษทิชชู่หรือผ้าเช็ดมือให้ 
    ฟ้ามืดสนิทแล้วตอนที่ผมเดินออกจากร้าน เห็นพื้นถนนเป็นรอยเปียกน้ำ ฝนได้โปรยลงโดยที่ไม่ส่งเสียงเข้าไปในร้านอาหาร เหมือนรีบแวะมาเยี่ยมและจากไปอย่างรวดเร็ว
    ถึงที่พัก ผมขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า ลุงโนบุนั่งดื่ม Tuborg เบียร์สัญชาติเดนมาร์กหมดไปแล้ว 2 ขวด ถ้าจำไม่ผิดเบียร์ Tuborg ในจีนมีแอลกอฮอล์ต่ำกว่าที่อื่น แต่พอๆ กับเบียร์ทั่วไปของจีน ประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผมเดินลงไปเข้าร้านมินิมาร์ทใกล้ที่พัก เปิดประตูตู้แช่ พลิกดูปริมาณแอลกอฮอล์แต่ละขวดแล้วก็ปิดประตูถอนใจ หันไปเลือกเหล้าขาวจีนที่ไม่รู้ว่าทำจากอะไร เรียกว่าอะไร รสชาติเป็นอย่างไร หยิบที่เขียนว่า 32 ดีกรี ปริมาตร 480 มิลลิลิตรมาขวดหนึ่ง ราคาแค่ 13 หยวนเท่านั้น
    ลุงโนบุผู้เดินทางจากจังหวัดโทยามะ ประเทศญี่ปุ่นถึงจังหวัดเชียงราย ประเทศไทยโดยไม่นั่งเครื่องบิน ปฏิเสธคำชวนของผม เพราะดื่มครบโควตาของวันไปแล้ว แกนั่งคุยอยู่ได้สักพักก็ลงข้างล่างไปชงกาแฟร้อนดื่มก่อนนอน ผมเดินลงไปนั่งคุยกับหนุ่มเจ้าของโฮสเทลผ่านแอปแปลภาษา ชวนให้ดื่มก็ไม่ดื่มเหมือนกัน ทำท่าทางเหมือนว่าเหล้าแรงไปสำหรับเขา ผู้เข้าพักชาวจีนคนอื่นๆ ก็ส่ายหัว แต่ผมสาบานได้ว่ารสชาติเป็นมิตรกว่าเหล้าขาวบ้านเรา ดื่มแล้วหน้าไม่เหยเก เพียงแต่ผมก็ไม่กล้าดื่มมากเหมือนกัน
    ตอนที่เก็บกระเป๋าออกจากเมืองคุนหมิงในเย็นวันต่อมา ผมลืมสุราขวดนี้ไว้แถวๆ เคาน์เตอร์รีเซฟชั่น ป่านนี้หนุ่มเจ้าของโฮสเทลคงรู้แล้วว่า “ปฏิเสธสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น”.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"