ชงวิธีป้องกันยึดอำนาจ ห้ามรับเป็นรัฏฐาธิปัตย์


เพิ่มเพื่อน    

 "ปิยบุตร" เลกเชอร์กลางสภา ผุดวิธีป้องกันการยึดอำนาจ ต้องปฏิรูปกองทัพ เขียนล็อกในรัฐธรรมนูญห้ามตุลาการยอมรับรัฐประหารเป็นรัฐฏาธิปัตย์ ให้ประชาชนต่อต้านได้ทุกรูปแบบ และให้ประเทศเพื่อนบ้านช่วยกดดัน ส่วน "ช่อ" ชัดเจน ด่ารัฐบาลมีปมด้อย ลั่นเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐประหารปี 49 ไทยสูญเปล่าไปกับการไล่ล่าล้างแค้นทางการเมืองคนเดียว ส่วน "โรม" อยากเห็น "บิ๊กตู่" ถูกประหารชีวิต ซัดตุลาการคอยรับใช้

    เมื่อเวลา 10.40 น. มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาญัตติเรื่อง ขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาเพื่อหาแนวทางป้องกันการรัฐประหาร ซึ่งนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ พร้อมคณะ เป็นผู้เสนอ
    นายปิยบุตรอภิปรายเปิดญัตติว่า ประเทศไทยเจอรัฐประหารหลายครั้ง โดยมักมีข้ออ้างที่วนเวียนอยู่ไม่กี่ข้อ อาทิ มีบุคคลบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เกิดภัยคอมมิวนิสต์ รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน เป็นต้น ซึ่งเมื่อยึดอำนาจได้สำเร็จก็จะฉีกรัฐธรรมนูญ ปกครองโดยไม่มีรัฐธรรมนูญ และสักพักก็มีรัฐธรรมนูญชั่วคราว  และรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมาตามลำดับ เมื่อดูวัฏจักรแล้ว ตั้งแต่เราเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนถึงขณะนี้ 88 ปี คนไทยมีชีวิตอยู่กับรัฐธรรมนูญชั่วคราวมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับถาวร
    เขากล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนใช้ชีวิตเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เป็นยาสามัญประจำบ้าน มีวิกฤติเมื่อใดก็เรียกรัฐประหารออกมา ทั้งที่เรื่องนี้เป็นวงจรอุบาทว์ และนี่คืออาการอยู่ด้วยความคุ้นชินโดยไม่รู้ตัว เป็นมายาคติและทำให้รัฐประหารเป็นเรื่องปกติ เกิดขึ้นอีกครั้งคงไม่เป็นไร ทั้งที่รัฐประหารเป็นการตัดตอนพัฒนาการประชาธิปไตย 
    นายปิยบุตรยกตัวอย่างสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรารับทุนจำนวนมากจากสหรัฐเพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ แต่เราก็ได้สร้างความเหลื่อมล้ำมาจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งทำให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ได้รับประโยชน์ ยังไม่นับการออกกฎยกเว้นให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่นี้ เช่นเดียวกันกับข้ออ้างที่ว่ารัฐประหารเข้ามาเพื่อปราบคอร์รัปชัน ปราบโกง แต่ในที่สุดเมื่อจากไปมีปัญหาทุจริตเสมอ
    "เชื่อเถอะว่าเมื่อเวลาผ่านไป และมองย้อนมา การยึดอำนาจไม่ใช่วิธีการปราบโกง แต่เป็นการเปิดทางให้ทหารเข้ามามีประโยชน์ ที่ว่าปราบโกง จะปราบไม่สำเร็จ และได้คอร์รัปชันรูปแบบใหม่ และเราไม่สามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งยังสร้างความแตกแยกร้าวลึก เพราะรัฐประหารทำให้เกิดผู้ลี้ภัย เกิดความแตกแยก เราอาจบอกว่านี่คือความสงบ แต่ความจริงคือการซุกปัญหาไว้ใต้พรม โดยใช้กำลังเข้าปราบปรามสิทธิเสรีภาพ ไม่เปิดพื้นที่ทางการเมืองใหม่ นี่คือหนังม้วนเดิมที่วนอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในไทย” 
    เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่กล่าวว่า จากการศึกษาวิธีป้องกันการรัฐประหารพบว่า เราต้องปฏิรูปกองทัพให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย รัฐบาลพลเรือนต้องอยู่เหนือทหาร ไม่ใช่ให้ทหารขี่คอรัฐบาลพลเรือน วันไหนทำอะไรที่ไม่ถูกใจกองทัพ กองทัพก็ขู่ ตบท้าย ส่งจดหมายน้อย หากไม่ยอมทำตามก็รัฐประหารยึดอำนาจ 
    นอกจากนี้ เราอาจมีมาตรการทางรัฐธรรมนูญและกฎหมายระดับพระราชบัญญติ โดยบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาขึ้นใหม่ เป็นมาตรา 113/1 กำหนดให้ประชาชนคนไทยเป็นผู้เสียหายโดยตรงจากรัฐประหาร เพราะที่ผ่านมาเคยมีนักการเมืองไปร้องเอาผิดกับผู้ปฏิวัติรัฐประหาร แต่ศาลไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง 
ห้ามตุลาการยอมรับรัฐประหาร
    นายปิยบุตรยังเสนอให้กำหนดในรัฐธรรมนูญ ห้ามให้ตุลาการยอมรับการรัฐประหารเป็นรัฐฏาธิปัตย์ และให้ประชาชนต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบได้ ต้องเขียนล็อกไว้แบบนี้ อย่างไรก็ตาม อาจมีคนบอกว่าเขียนไว้เท่าไหร่ คณะรัฐประหารตามไปฉีกมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งตนอยากบอกว่าอย่างน้อยที่สุดเมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ เรายังมีตัวบทกฎหมายรับรองอยู่ และค่อยหาวิธีการคนยึดอำนาจก็ยังไม่สาย 
    เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ยังอภิปรายว่า มาตรการกดดันระหว่างประเทศก็เป็นอีกทางหนึ่ง อย่างเช่นประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีการรัฐประหารบ่อยครั้ง แต่พักหลังทำไม่สำเร็จ เพราะมีการตกลงกันว่าหากประเทศใดรัฐประหาร เพื่อนประเทศต่างๆ จะร่วมกันบอยคอต ไม่คบค้าด้วย รวมถึงกลไกศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่หลายประเทศรับรองอำนาจของศาลนี้ไว้ หากปราบปรามประชาชน หรือแม้แต่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองก็ไม่พ้นมือของศาลนี้  
    "มาตรการที่เสนอมา ไม่มีอะไรที่เป็นยาที่สำคัญที่สุดเท่ากับการสร้างความคิดแบบใหม่ จิตสำนึกให้กับประชาชน นักการเมือง ส.ส. ข้าราชการ สื่อ และทุกภาคส่วน ให้พร้อมใจกันต่อต้านรัฐประหาร ซึ่งเชื่อว่าคณะรัฐประหารทำไม่สำเร็จ ต้องขจัดมายาคติ ความเชื่อให้ได้ว่ารัฐประหารคือยาวิเศษ และเป็นเรื่องปกติในสังคม เราต้องคิดให้ได้ว่าเรื่องนี้มันผิด และต้องออกไปต่อต้าน ถ้าไม่คิดว่าสู้เพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดว่าสู้เพื่อลูกหลานและประเทศไทย" นายปิยบุตรกล่าว 
    ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายว่า การรัฐประหารเหมือนไวรัสเอชไอวี ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่องทั้งระบบ อาการป่วยไข้ที่เกิดจากไวรัสรัฐประหารที่ยังไม่มีคนพูดถึงมากนัก คือจุดยืนที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ ของไทยในเวทีโลก ที่เกิดจากวงจรอุบาทว์ในการรัฐประหาร
    "ดิชั้นเกิดในยุคที่ประเทศไทยมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก ในยุคที่ประเทศไทยเป็นประทีปแห่งความหวังของภูมิภาค แต่เมื่อเกิดรัฐประหารในปี 2549 การต่างประเทศของไทยที่รุ่งเรือง บทบาทของไทยที่เคยเป็นผู้นำของภูมิภาคก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ การต่างประเทศของไทยแทนที่จะใช้นโยบายทางการทูตเจรจาต่อรองกับต่างประเทศ เพื่อปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของคนไทย กลับกลายเป็นเครื่องมือไล่ล่าทางการเมือง ไล่ล่านักการเมืองเพียงคนเดียว เอาผลประโยชน์ของประเทศไปเจรจาต่อรองไม่ว่าเวทีไหน ทูตไทยมีหน้าที่เจรจาต่อรอง หรือทำอย่างไรก็ได้ เพื่อเอาตัวนักการเมืองคนนั้นมาลงโทษในประเทศไทย"
    เธอกล่าวว่า ความสูญเปล่าทางนโยบายต่างประเทศเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปี จากนั้นรัฐประหารปี 2557 ครั้งนี้หนักกว่าเก่า เพราะทุกครั้งที่รัฐประหารเกิดขึ้น โลกก้าวไปข้างหน้า รัฐประหารเป็นสิ่งน่ารังเกียจในประชาคมโลก และรัฐประหารปี 2547 มีภารกิจอยู่ยาว จึงมีภารกิจตามมาว่า จะแก้ตัวอย่างไรในเวทีโลก 5 ปี ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 2 ปีแรก ทูตไทยเสียเวลากับการแก้ตัวว่าเหตุใดต้องรัฐประหาร อีก 3 ปีต้องแก้ตัวว่าทำไมต้องเลื่อนเลือกตั้ง เพราะไปที่ไหนก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเป็นประเทศที่เป็นรัฐบาลทหารไม่เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก 
อยากเห็น"บิ๊กตู่"ถูกประหาร
    "ดังนั้นเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐประหาร 2549 จน ปัจจุบัน การระหว่างประเทศของไทยสูญเปล่าครึ่งหนึ่งไปกับการไล่ล่าล้างแค้นทางการเมือง อีกครึ่งหนึ่งตกอยู่กับการแก้ตัวว่ารัฐประหารทำไม และเมื่อไหร่จะเลือกตั้ง"
    น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า เมื่อรัฐประหารเรื่อยๆ เกียรติภูมิประเทศตกต่ำลงเรื่อยๆ ท่านก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบหงอ คือกลัวเพื่อนไม่คบ ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองได้รับการคบหาสมาคม ยอมเจรจาแบบเสียเปรียบ นอกจากเสียศักดิ์ศรี ยังเสียศักยภาพในการต่อรองเจรจาระหว่างประเทศ พอท่านหงอไม่มีศักยภาพในการเจรจาต่อรอง เพราะเป็นรัฐบาลมีปมด้อย เป็นรัฐบาลเผด็จการ ท่านจะไปขอให้ประเทศต้นน้ำแม่น้ำโขงเปิดเขื่อนก็ไม่กล้า เกรงใจ เพราะพึ่งใบบุญเขาอยู่ ท่านจะขอเอาคนไทยกลับจากอู่ฮั่น ก็เกรงใจว่าจะกระทบความสัมพันธ์ สุดท้ายหงอไปหมด ประนีประนอมผลประโยชน์ของคนไทย กับการได้รับการยอมรับของรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรม
    นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายว่า สิ่งที่เราจะต้องเห็นในการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 คือการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องขึ้นศาล และอาจจะมีคำพิพากษาประหารชีวิต วันนี้ท่านจะไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เป็นน.ช.ประยุทธ์ แต่เครื่องมือกฎหมายที่เราใช้อยู่มีปัญหา ไม่สามารถใช้บังคับได้จริง ส่วนหนึ่งองค์กรตุลาการ องค์กรศาล ได้มีคำพิพากษารองรับมาตลอด ว่าคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจแล้วนั้น ย่อมมีอำนาจในการปกครอง และออกกฎหมายบังคับใช้ต่อประชาชน สาเหตุที่เป็นแบบนี้ เพราะองค์การตุลาการไปยอมรับทำให้คณะรัฐประหารเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตย
      “การรับรองสถานะของคณะรัฐประหารขององค์กรตุลาการไทยยังเหมือนเดิม แสดงให้เห็นว่าลำพังคณะรัฐประหารกลุ่มเดียว ย่อมไม่สามารถสถาปนาสร้างอาณาจักรคณะรัฐประหารได้เพียงลำพัง จำเป็นต้องมีองค์กรตุลาการมาคอยรับใช้ และรับรองด้วย องค์กรตุลาการที่มีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยของประชาชน กลับไม่ยอมทำหน้าที่นี้ แล้วไปอุดปากประชาชนว่าคณะรัฐประหารเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ผมถามว่ากล้าดีอย่างไรที่จะบอกว่าประชาชนไม่มีอำนาจอธิปไตย นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น คณะรัฐประหารเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถสร้างอาณาจักรรัฐประหารได้” 
     นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า จะพูดถึงศาลเพียงอย่างเดียวคงไม่เป็นธรรม เราต้องพูดถึงสภาผู้แทนราษฎรด้วย เรามาจากการเลือกตั้ง ประชาชนหวังเป็นปากเป็นเสียงให้เขา แต่กลับปล่อยให้การรัฐประหารเกิดขึ้น ปล่อยให้ทหารสั่งพวกเราเหมือนเป็นพลทหารได้อย่างไร คิดว่าวันนี้เป็นโอกาสดี ประเทศนี้จะปลอดรัฐประหารจะไม่มีการปฏิวัติอีกต่อไป เพราะวันนี้อำนาจอยู่ในมือของพวกเราทุกคนที่จะทำให้วันนี้ถูกต้องหรือผิด
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสมาชิกให้ความสนใจร่วมอภิปรายแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางในการพิจารณาญัตติการตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกในอนาคต จากการเสนอของนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ โดยมีทั้งสนับสนุนและคัดค้าน
    จนเมื่อเวลา 17.35 น. นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้เห็นว่ายังมีสมาชิกอภิปรายอีกหลายคน จึงขอเลื่อนไปพิจารณาต่อสัปดาห์หน้า พร้อมสั่งปิดประชุมทันที.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"