สองรูปนี้สะท้อนถึงการเมืองสหรัฐที่ดุดันร้อนแรงและแบ่งแยกกันที่ยากจะสมานแผลกันได้ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับพรรคเดโมแครตที่ต่างจ้องทำลายกันอย่างดุเดือดรุนแรง
เหตุเกิดเมื่อวันพุธที่ผ่านมาที่สภาคองเกรส กรุงวอชิงตัน
เป็นวันที่ทรัมป์ปราศรัยประจำต่อสภาเพื่อรายงานความเป็นไปของบ้านเมืองที่เรียกว่า State of the Union
ภาพที่หนึ่ง แนนซี เพโลซี แกนนำของพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรยื่นมือให้ทรัมป์จับก่อนเริ่มคำปราศรัย แต่จะเป็นเพราะทรัมป์มองไม่เห็นหรือจงใจจะไม่จับมือกับคู่แค้นหมายเลขหนึ่งทางการเมืองของตัวเอง แต่ไม่มีการทักทายอันเหมาะควรตามกติกามารยาทของผู้นำระดับชาติควรจะประพฤติเป็นเยี่ยงอย่างแก่ชนรุ่นหลังแต่อย่างไร
นักข่าวบางคนบอกว่า ทรัมป์อาจจะมองไม่เห็นมือที่ยื่นออกมาของเพโลซี
นักข่าวอีกบางคนบอกว่า ทรัมป์แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะไม่ต้องการมีภาพปรากฏในสื่อว่าเขาสัมผัสมือกับผู้นำฝ่ายเดโมแครตที่เป็นผู้ผลักดันกระบวนการ “ไต่สวนเพื่อถอดถอน” หรือ impeachment เล่นงานทรัมป์อยู่ขณะนี้
แต่จะเป็นด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม การที่ผู้นำฝ่ายบริหารกับแกนนำฝ่ายนิติบัญญัติที่อยู่คนละค่ายไม่แสดงความเป็น “ผู้หลักผู้ใหญ่” เพียงพอในเวทีระดับชาติอย่างนี้ย่อมจะเป็นที่โจษขานกันไปอีกยาวนาน
ภาพที่สองยิ่งสร้างความเกรียวกราวหนักขึ้นไปอีก เพราะครั้งนี้ไม่มีข้อสงสัยว่าเป็นการกระทำอย่างจงใจจะให้เป็นการสะท้อนถึงความรู้สึกที่เหยียดหยามของเพโลซีต่อทรัมป์อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เพียงใด
ทันทีที่ทรัมป์กล่าวปราศรัยยาว 80 นาทีเสร็จ เพโลซีก็ลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งหยิบเอากระดาษปึกหนึ่งที่เป็นต้นฉบับคำปราศรัยของทรัมป์และฉีกดังขวับต่อหน้าต่อตากล้องที่กำลังถ่ายทอดสดไปทั่วโลก
ทรัมป์ไม่ได้หันมามอง จึงไม่รู้ว่าปฏิกิริยาของเขาต่อการแสดงออกของเพโลซีเป็นอย่างไร
แต่ผมจะแปลกใจมากหากทรัมป์ไม่เขียนข้อความลงในทวิตเตอร์ด้วยภาษาตอบโต้ที่เจ็บแสบไม่แพ้ปฏิกิริยาของผู้นำเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ
เรียกได้ว่าแกนนำของสองพรรคใหญ่ของสหรัฐกำลังทำศึกสงครามกันทุกๆ ด้านอย่างไม่เกรงอกเกรงใจกันอีกต่อไปแล้ว
ฟาดฟันกันอย่างชนิดที่ไม่เผาผีกันเลยทีเดียว
เพราะเดโมแครตจับทรัมป์ขึ้นเขียงด้วยการลงมติเสียงข้างมากให้ตั้งข้อกล่าวหาทรัมป์ในกระบวนการ “ไต่สวนเพื่อถอดถอน” หรือ impeachment ผ่านสภาล่างส่งวุฒิสภา
การจะปลดทรัมป์ได้หรือไม่อยู่ที่จะได้เสียงเกิน 2 ใน 3 จากจำนวนสมาชิกวุฒิสภา 100 คนหรือไม่
โอกาสที่จะเกิดขึ้นเกือบจะเป็นไปไม่ได้
แต่เดโมแครตก็เดินหน้ากดดันทรัมป์จนสามารถนำเรื่องไปสู่สภาสูง
พอไปถึงวุฒิสภา สมาชิกจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งมีเสียงข้างมากก็เล่นเกมการเมืองของตนด้วยการลงมติเสียงข้างมากไม่ยอมให้มีการเรียกพยานหรือเอกสารมาเพิ่มเติม
เกมของพรรครีพับลิกันในการอุ้มทรัมป์ก็คือ การเร่งให้มีการลงมติคว่ำมติ impeachment ทรัมป์โดยเร็ว โดยไม่ยอมให้มีการเรียกพยานอะไรทั้งสิ้น
เพราะรู้ดีว่ายกมือคราใดก็ชนะทุกที
เดโมแครตโวยวายว่ารีพับลิกันทำอย่างนี้เท่ากับเป็นการ “มัดมือชก” เพราะการไต่สวนที่ไม่มีการเรียกพยานและเอกสารเพิ่มของทั้งสองฝ่ายนั้นย่อมไม่ใช่วิถีแห่งกระบวนการยุติธรรม
ทรัมป์อ้างว่าเดโมแครตเปิดเกมสกปรกก่อน รีพับลิกันจึงต้องโต้ด้วยเกมเดียวกัน
ที่ว่าเดโมแครตเปิดกลยุทธ์ไม่แฟร์ต่อทรัมป์นั้น รีพับลิกันอ้างว่าเพราะเป็นการจงใจสร้างข้อกล่าวหาที่ไม่ยุติธรรมต่อทรัมป์ตั้งแต่ต้น
ทั้งสองฝ่ายฟาดกันแรง เพราะนี่คือปีเลือกตั้ง และทรัมป์ประกาศตั้งแต่ไก่โห่แล้วว่าจะสมัครเพื่อรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองและจะชนะแน่ๆ
พรรคเดโมแครตรู้ว่าเหล่าบรรดาผู้สมัครของตนนั้นยังไม่มีใครเจ๋งพอที่จะคว่ำทรัมป์ได้ จึงต้องเดินหน้าทำลายชื่อเสียงของทรัมป์ทุกวิถีทาง
ยิ่งทรัมป์ทำอะไรสุ่มเสี่ยงกับการใช้อำนาจในทางที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจนด้วย สงครามจึงต้องระเบิด และกว่าจะถึงวันเลือกตั้งต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ รับรองได้ว่าเราจะได้เห็นศึกย่อยศึกใหญ่ที่ดุเดือดเลือดพล่านของอเมริกาที่ดูไม่จืดจริงๆ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |