จะด้วยเหตุเพราะ ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 หรือด้วยเหตุเพราะ ไวรัสอู่ฮั่น ก็แล้วแต่...เลยทำให้การสวม หน้ากากอนามัย แทบไม่ต่างอะไรไปจากแฟชั่นยอดฮิต อันเนื่องมาจากสภาวะแวดล้อมและความจำเป็น ชนิดส่งผลให้หน้ากากขาดตลาด ผลิตแทบไม่ทัน เกิดการกักตุน การเก็งกำไร กันไปจนได้...
----------------------------------------------
อีกทั้งยังทำให้ไม่ว่า สังคมไทย ไปจนถึง สังคมโลก...ออกจะเป็นอะไรที่แปลกหู แปลกตา ไปพอสมควร คล้ายๆ สังคมมนุษย์อวกาศ มนุษย์ต่างดาว ทำนองนั้น คือเต็มไปด้วยผู้คนที่สวมหน้ากาก ระหว่างไปไหน-มาไหน ยิ่งถ้าหากสวมแว่นดำทับเข้าไปอีกชั้น ยิ่งแทบไม่รู้ว่าไผเป็นไป ใครเป็นใคร ส่วนประเภทที่อยู่ในเขต ในพื้นที่กักกันเชื้อ กักกันโรค ยิ่งต้องกลายสภาพเป็นมนุษย์อวกาศ มนุษย์ต่างดาว ยิ่งขึ้นไปใหญ่ คือต้องสวมหมวก สวมครอบแก้ว หรือสวมชุดป้องกัน จนทำให้สีสันบรรยากาศของโลกยุคใหม่ ออกจะคล้ายๆ โลกพระจันทร์ หรือโลกพระอังคาร เข้าไปทุกที...
---------------------------------------------
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วย เงื่อนไข ด้วย สภาวะแวดล้อม และ ความจำเป็น มันเลยทำให้แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ต้องออกไปในแนวนี้ โอกาสจะได้เห็นหน้า เห็นตา ใครต่อใคร ในแบบตัวเปล่าเล่าเปลือย แบบไม่ต้องปิดบัง ซ่อนเร้น หรือแบบเปิดเผยตรงไป-ตรงมา เลยเป็นสิ่งที่อาจไม่สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมมากมายซักเท่าไหร่ เนื่องจากอะไรต่อมิอะไรที่เคยเป็นไปตาม ธรรมชาติ โดยทั่วไป มันชักจะไม่เป็นไปตามธรรมชาติยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดยิ่งก้าวหน้า ก้าวไกล ยิ่งเจริญเติบโตทางวัตถุยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ความ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ก็ดูจะยิ่งต้องเป็นไปยิ่งขึ้นเท่านั้น...
-------------------------------------------------
แต่ก็เอาเถอะ...ไหนๆ ในเมื่อการ สวมหน้ากาก ได้กลายเป็น แฟชั่น ชนิดหนึ่งไปแล้ว บรรดาพวกนักธุรกิจประเภท สตาร์ทอัพ ทั้งหลาย ก็น่าจะได้ลองประดิษฐ์ คิดค้น นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับแฟชั่นประเภทนี้กันเอาไว้บ้าง ไม่ว่าในแง่ของการออกแบบ ดีไซน์ ให้สวยสด งดงาม แปลกแหวกแนว หรือให้เกิดการเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันอะไรต่อมิอะไรให้แน่นหนา แน่นอน ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเห็นว่า หน้ากาก แบบธรรมดาๆ โดยทั่วไปนั้น มันอาจไม่ถึงกับปกป้องอะไรได้มาก ถ้าต้องเทียวไป-เทียวมา อยู่แถวๆ บริเวณที่ก่อสร้างรถไฟฟ้า ตึกสูง หรือต้องยืนรอรถเมล์ตามถนนกันนานๆ โอกาสที่จะต้องสูดดม ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เข้าไปซักกรัม-ครึ่งกรัม โล-ครึ่งโล ก็อาจเป็นไปได้อยู่บ้างเหมือนกัน...
-------------------------------------------------
หรือถ้าหากเจอใครต่อใคร จาม ใส่หน้า กันแบบจะจะ จังจัง โอกาสที่จะต้องโดนกักตัวเอาไว้ 14 วัน กลายเป็นหนึ่งในจำนวนตัวเลขสถิติ ผู้ติดเชื้อ ที่กำลังเพิ่มขึ้นๆ ในแต่ละบ้าน แต่ละเมือง ย่อมมีความเป็นไปได้อีกเช่นกัน อีกทั้งถึงไม่มีใครจาม ใครไอ ใส่หน้าตัวเอง แต่การที่ตัวเองต้องดมกลิ่นปาก กลิ่นจมูกตัวเอง อยู่ภายใต้หน้ากากเป็นชั่วโมงๆ เป็นวันๆ โดยไม่ได้มีช่องทางระบายลมผ่านอะไรบ้างเลยนั้น ก็ออกจะเป็นอะไรที่พะอืดพะอม ทรมาน ทรกรรม อยู่พอสมควร ถ้าเกิดการประดิษฐ์ คิดค้น หน้ากากที่มีเครื่องฟอกอากาศอยู่ภายในตัว ก็น่าจะช่วยอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย...
-----------------------------------------------------
ยิ่งถ้าสามารถประดิษฐ์ คิดค้น หน้ากากสำหรับผู้มีวิชาชีพพิเศษ หรือลักษณะพิเศษ เป็นการเฉพาะ เช่น หน้ากากที่เอาไว้สวมใส่เวลาที่ต้องพูดมากๆ และพูดในคนหมู่มาก เช่นหน้ากากสำหรับ นักการเมือง เวลาต้องเข้าไปประชุม ไปอภิปรายในรัฐสภา เพื่อไม่ให้เกิดการปล่อยเชื้อ ติดเชื้อ ไปจนถึงเพื่อไม่ให้เกิดการระบายคำพูดแบบหยาบๆ คายๆ แบบไม่ โมกโข กัลยาณิยา สาธุ ทั้งหลาย ชนิดสามารถใช้เป็นหน้ากาก รวมทั้งเป็น ตะกร้อครอบปาก ไปในตัว ก็น่าจะเป็นผลดีต่อส่วนรวม ต่อชาติบ้านเมืองมิใช่น้อย คืออาจช่วยให้ความเป็น สัปปายะสภาสถาน เป็นอะไรที่น่าเชื่อมั่น ศรัทธา ขึ้นมาได้มั่ง...
-------------------------------------------------------
ก็เอาเป็นว่า...ภายใต้บรรยากาศที่ออกจะเคร่งเครียด น่าเกลียด น่ากลัว น่าอันตรายยิ่งขึ้นทุกที ไม่ว่าในสังคมไทย หรือสังคมโลกก็แล้วแต่ คงต้องหาอะไรที่เบาๆ สบายๆ มาพูดจาว่ากล่าวกันเอาไว้มั่ง จะไปเอาจริง-เอาจัง กับการด่าแล้ว ด่าอีก หรือเชียร์แล้ว เชียร์อีก จนอะไรต่อมิอะไรมันชักจะ สวิงไป-สวิงมา ยิ่งขึ้นทุกที หาจุดสมดุล จุดกลางๆ แทบไม่ได้ โดยเฉพาะในโลกเสมือนจริง หรือโลกโซเชียล มีเดียทั้งหลาย วันนี้...ก็เลยต้องขออนุญาตฉีกกรอบ ฉีกแนว ไปว่ากันในเรื่องไม่ค่อยจะได้เรื่อง ด้วยเหตุเพราะไม่อยากให้อะไรต่อมิอะไรมันต้อง เป็นเรื่อง มากมายยิ่งไปกว่านี้...นั่นแล...
-------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Los Angeles Times Syndicate (อีกครั้ง)...“An optimist thinks the glass is half full; a pessimist thinks the glass is half empty. A realist thinks that if he sticks around, he’s eventually going to have to wash the glass. - ผู้มองโลกในแง่ดี...คิดว่าแก้วน้ำเต็มอยู่ครึ่งหนึ่ง ผู้มองโลกในแง่ร้าย...คิดว่าแก้วน้ำว่างอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนผู้มองโลกตามความเป็นจริง...คิดว่าถ้าหากเขายังไม่ไปไหน เอาแต่วนไป-วนมาอยู่แถวนั้น ท้ายที่สุดเขาอาจต้องกลายเป็นผู้ล้างแก้วใบนั้น...”
------------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |