การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เริ่มจากเมืองอู่ฮั่นในมณฑลหูเป่ย์ของจีน มีผลทั้งด้านการแพทย์ สังคม และการเมืองของจีนอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง
ถึงขั้นว่าหากไม่บริหารวิกฤติครั้งนี้ให้มีประสิทธิภาพจริงจัง ก็อาจเขย่าบัลลังก์แห่งอำนาจทางการเมืองของจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเลยก็ว่าได้
ที่เราเห็นนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงลงไปสั่งการสู้กับโรคระบาดด้วยตัวเองที่อู่ฮั่นนั้น ก็เป็นสัญญาณว่าผู้นำจีนเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่จะมีผลกว้างไกลต่อสถานภาพของระดับนำทั้งหมด
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงก็ให้ผู้อำนวยการของ WHO คือนาย Tedros Adhanom Ghebreyesus (อดีตรัฐมนตรีของเอธิโอเปีย) มาพบตัวต่อตัวที่ปักกิ่งอย่างเปิดเผย หลังจากองค์การอนามัยโลกประกาศให้การระบาดของไวรัสอู่ฮั่นเป็น "ภัยฉุกเฉินระหว่างประเทศ"
พรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัฐบาลย่อมตระหนักว่า ประชาชนคนจีนกำลังจับจ้องประเมินว่าผู้นำมีความสามารถในการแก้วิกฤติได้มากน้อยเพียงใด
หากแก้ไขช้าเกินไปหรือปล่อยให้การระบาดกระจายตัวกว้างไกลไปก็จะทำให้คนจีนทั้งประเทศเสื่อมศรัทธาต่อระดับนำได้
นั่นย่อมหมายถึงการสึกกร่อนของความชอบธรรมทางการเมืองสำหรับผู้นำจีน
เราเคยเชื่อกันว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิงนั้นมี "ความชอบธรรม" ทางการเมือง เพราะทำให้เศรษฐกิจจีนดีและสามารถยกระดับความเป็นอยู่ของคนจีน จนถึงขั้นที่คนจีนส่วนใหญ่จะไม่เรียกร้องเรื่องเสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็นเท่าไหร่นัก
ความชอบธรรมทางการเมืองมาจากความสามารถในการแก้ไขปัญหาปากท้อง ว่างั้นเถอะ
แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วประเด็นของความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสายตาของคนจีนอยู่ที่ความเชื่อมั่นในรัฐบาลเป็นหลัก
นั่นหมายความว่าประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลพูดความจริงกับพวกเขาหรือไม่ ปกปิดหรือหลอกประชาชนในเรื่องของข้อมูลข่าวสารหรือไม่
ถ้าประชาชนไม่เชื่อว่ารัฐบาลสื่อสารกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาความชอบธรรมก็ย่อมจะเริ่มเสื่อมทรุด
เมื่อคราวเกิดการระบาดของโรค SARS เมื่อปี 2003 หรือ 17 ปีก่อน มีคำถามถึงความจริงใจและประสิทธิภาพในการแก้วิกฤติของรัฐบาลจีนเป็นอย่างมาก
เพราะข้อมูลจากทางการออกมาช้า เหมือนมีความพยายามจะปกปิดข้อมูลจากชาวบ้าน ขาดมาตรการที่ทันท่วงที
มีความสงสัยขณะนั้นว่ารัฐบาลไม่ไว้ใจประชาชน กลัวชาวบ้านจะตื่นตระหนก ถึงขั้นที่รัฐบาลอาจควบคุมความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองไม่ได้
นั่นเป็นบทเรียนสำคัญยิ่งสำหรับผู้มีอำนาจของจีน ที่ครั้งนี้ได้นำมาใช้เพื่อปรับปรุงวิธีการ "บริหารวิกฤติ"
เพราะสำหรับสังคมจีนวันนี้เมื่อเกิดวิกฤติเช่นนี้ ประเด็นไม่ได้อยู่แต่เพียงเรื่องสุขอนามัยของประชาชนเท่านั้น
แต่มีผลกระทบไปถึงความเชื่อมั่นในระบบของพรรคคอมมิวนิสต์ ระบบการเมืองและการปกครองในทุกมิติด้วย
ผู้รู้ของจีนในอดีตพูดเสมอว่า เรื่องสำคัญสำหรับผู้ปกครองของจีนนั้นมีอย่างน้อยสามเรื่อง
1.ปากท้อง
2.ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
3.ความเชื่อมั่นในรัฐบาล
วันนี้สองข้อแรกนั้นผู้นำจีนดูเหมือนจะทำได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ผ่าน ๆ มา
แต่เมื่อเกิดวิกฤติเช่นกรณีไวรัสอู่ฮั่นขึ้นมา ปัจจัย "ความเชื่อมั่นในรัฐบาล" กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด และเผลอๆ อาจจะสำคัญกว่าสองข้อแรกอีกด้วย
ดังนั้นจะเห็นว่าการระบาดของโรคร้ายครั้งนี้ จึงทำให้ผู้นำระดับสูงสุดของจีนทำทุกอย่างเพื่อสกัดการแพร่ของเชื้อ และขณะเดียวกันก็ให้ข้อมูลต่อสาธารณชนที่ค่อนข้างจะรวดเร็วและตรงไปตรงมา
จะมีปัญหาของช่วงแรกๆ ที่มีข่าวเรื่องไวรัสตัวใหม่ที่อู่ฮั่น ที่ดูเหมือนผู้นำระดับเมืองจะขาดการตัดสินใจในการบอกกล่าวกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา
แต่เมื่อตระหนักในความรุนแรงของปัญหาแล้ว รัฐบาลกลางก็กระโจนลงมาทำทุกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่นสั่งปิดเมือง สั่งสร้างโรงพยาบาลเฉพาะกิจภายใน 1-2 สัปดาห์อย่างน้อยสองแห่งทันที
เปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
ร่วมมือกับประชาคมโลกอย่างโปร่งใส ยอมเปิดเผยรหัสพันธุกรรมของไวรัสตัวนี้ให้ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเพื่อร่วมกันวิจัยหายาและวัคซีนป้องกันระหว่างที่การระบาดยังไม่สงบ
ไวรัสตัวนี้กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระดับโลกได้จริงๆ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |