เมื่อคืนได้ดูสัมภาษณ์ CNBC ของแคนาดา เรื่อง Coronavirus แล้วรู้สึกได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากมาย เลยลองเขียนสรุปเป็นข้อๆ ออกมาเผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ
1.ไวรัสต่างๆ ที่ทำให้เข้าสู่ร่างกาย ให้นึกถึงลูกเทนนิสที่มีหนามอยู่ตามส่วนต่างๆ มันจะเอาหนามนี้ไปเกาะตามที่ต่างๆ ในร่างกาย อยู่ที่ว่ามันพัฒนามาให้เกาะได้ที่ไหน ถ้ามันไปเกาะที่จมูก เราก็จาม ถ้ามันไปเกาะที่ปอด เราก็จะไอ หายใจไม่ออก
2.ไวรัส corona คำว่า corona มาจากคำว่า Crown คือมงกุฎ ตั้งชื่อตามลักษณะรอยหยักด้านบนที่คล้ายมงกุฎของไวรัสนี้ มันจะไปเกาะที่ปอด ส่ง Blueprint ตัวมันเอง บอกให้เซลล์ที่ปอดสร้างตัวมันเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ พอไวรัสมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะส่งผลต่อปอด ทำให้หายใจไม่ออก
3.โคโรนา ต่างจาก ซาร์ส ในเรื่องความเร็ว และอันตรายในการออกฤทธิ์ทำลายปอด และมีดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอที่ต่างกัน
4.ไวรัสไม่มีปีก ไม่มีขา มันเดินทางเองไม่ได้ มันจะต้องอาศัยพาหะในการติดต่อ
5.เริ่มแรกเป็นการติดจากสัตว์กับสัตว์ แต่พอคนไปเดินตลาดที่ขายสัตว์ (ที่ยังมีชีวิต) ได้อยู่ใกล้สัตว์ หรือสัมผัสกับสัตว์ อีตัวไวรัสนี้ก็มีการกลายพันธุ์ สามารถติดจากสัตว์สู่คนได้ การติดต่อนี้ผ่านการสัมผัสและอยู่ใกล้ หายใจเอาอากาศที่มีเชื้อสู่ระบบทางเดินหายใจ
6.เมื่อไวรัสมาอยู่ที่คนก็เกิดการกลายพันธุ์อีกเล็กน้อย ไปเกาะที่ปอด และสามารถติดจากคนสู่คนได้
7.อย่างที่บอกว่า ไวรัสไม่มีขา ไม่มีปีก ต้องอาศัยคนในการแพร่ ดังนั้นจึงติดต่อได้จากการจามและหายใจเอาเชื้อเข้าไป
8.เมื่อผู้ป่วยจาม เชื้อจะลอยอยู่ในอากาศแป๊บเดียวแล้วตกลงสู่พื้น ถ้าผู้ป่วยจามใส่โต๊ะ แล้วเราเอามือไปจับที่โต๊ะ แล้วเอามือมาจับหน้า จับปาก จับจมูก ไวรัสจะเดินทางเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจเรา แล้วเราจะติด
9.การใส่ Mask ดีกว่าไม่ใส่ แต่ไม่ใช่เพราะใส่ mask แล้วเชื้อจะไม่เข้าไป เพราะถ้ามีคนจามใส่เราตรงๆ mask จะไม่สามารถปิดหมดได้ นอกจาก N95 (ซึ่งเราจะหายใจลำบากมากเมื่อใส่) การใส่ mask จะดีกว่าตรงที่มันจะกันไม่ให้เราเอามือไปสัมผัสปาก
10.เพราะฉะนั้น key จะอยู่ตรงที่การไม่เอามือไปสัมผัสปาก ล้างมือบ่อยๆ แต่จะให้ล้างตลอดเวลาก็จะยากไป
11.ไวรัสตระกูลนี้จะไม่สามารถอยู่ล่องลอยอยู่ในอากาศได้ ดังนั้นมันจะตกลงสู่พื้นเสมอ ไม่ใช่เดินไปในที่ว่างๆ แล้วจะสูดเอาไวรัสจากอากาศเข้าไปได้ การที่เราเอาเป้ไปวางที่พื้นที่มีเชื้ออยู่ แล้วเอามือไปสัมผัสเป้ แล้วเอามือมาสัมผัสปากหรือจมูก เราจะติดเชื้อได้
12.การกินอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อไวรัสจะไม่ทำให้ติดเชื้อได้ เพราะเชื้อจะถูกกรดในกระเพาะกำจัด เพราะฉะนั้น ที่บอกกันว่าการกินค้างคาว กินงู ที่มีไวรัสนี้แล้วทำให้ติด จึงไม่ใช่เรื่องจริง มันคือเกิดจากการสัมผัสและอยู่ใกล้สัตว์ที่ยังมีชีวิตที่มีไวรัสนี้ต่างหาก (อย่าลืมว่าไวรัสมันไปเกาะที่ปอด มันจะต้องเข้าทางทางเดินหายใจเนาะ)
13.ตอนนี้ยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกัน หรือรักษาโรคนี้ วิธีรักษาคือ รักษาไปตามอาการ ถ้าขาดน้ำให้กินน้ำ ถ้าไตล้มเหลวก็ต้องช่วยที่ไต รอจนกว่าร่างกายจะสร้างแอนติบอดี้มาต่อต้านได้เอง (เหมือนกับเราเป็นหวัด เราจะดีขึ้นเองเมื่อเวลาผ่านไป รอแอนติบอดี้จัดการเอง ที่ยากคือเชื้อมาจากสัตว์ ร่างกายเราไม่เคยเจอ ก็จะคงคิดนานหน่อย)
14.เด็กและคนแก่จะสร้างแอนติบอดี้ได้ช้า อาจไม่ทันต่อการแพร่กระจายของโรค
15.วิธีแก้คือต้องกันผู้ป่วยออกจากคนอื่น ไม่ให้เชื้อนี้สามารถแพร่กระจายได้ เหมือนกับตอนโรคซาร์ส ที่กันจนไม่มีการระบาดได้อีก
16.ผู้ป่วยเวลาจามหรือไอ ควรทำใส่กระดาษทิชชู กลับกัน เราเจอคนจามคนไอ ให้หันหน้าไปทางอื่น ไม่ใช่หันหน้าไปสู้
17.ทางที่ดี ถ้าเราเพิ่งเดินทางมาไม่นาน (ไม่ว่าจะประเทศไหน) ให้คอยดูอาการ เพราะไวรัสจะมีเวลาฟักตัว ไม่ได้แสดงอาการทันที (อีตอนนี้ก็แพร่กระจายได้นะ) อาการจะเริ่มจากน้ำมูกไหล เป็นไข้ ถ้าเราสุ่มเสี่ยงให้เรารีบไปหาหมอ เพราะถ้าเกิดอาการที่ปอดแล้ว เราจะหายใจไม่ออกได้
Translate : Anuchit Arunchokechai.
‘ป้าเอง’
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |