5 ก.พ.2563 -   นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการที่วิปรัฐบาลเสนอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบญัตติของฝ่ายค้านใหม่เนื่องจากมีข้อความเท็จ และถ้อยคำที่รุนแรงเกินไปว่า ไม่ทราบ เป็นเรื่องของประธานสภาจะวินิจฉัยเอง อาจจะมีทางออกทางใดทางหนึ่งก็ได้  ไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐบาล เพราะถึงแม้ว่าญัตติจะเป็นอย่างไร ผู้ที่ถูกอภิปรายก็ต้องไปตอบอยู่แล้ว ถือเป็นการให้เกียรติสภาและเป็นการปกป้องตนเองด้วย 

ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ผ่านมาเคยมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีถ้อยคำรุนแรงจนต้องให้ประธานสภาตรวจสอบใหม่หรือไม่  นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เคยได้ยินว่ามี อย่างมากก็ไปตกลงกัน แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะในสมัยก่อนไม่มีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเกินเหตุเหมือนอย่างนี้ เพราะส่วนใหญ่เขามักจะมีการสงวนเอาไว้ รุนแรงไปหลุดปากพูดกันในสภาประธานจะเบรกก็ไม่ทันแล้ว อย่างมากก็ขอถอนคำพูด จะเป็นอย่างนั้นมากกว่า

“สำหรับการกล่าวหาในครั้งนี้ถือว่ารุนแรง ถ้าถือว่ากล่าวหาคือกล่าวหามันก็ไม่มีอะไรหรอก คำพูดมันก็คือคำพูด ในที่สุดมันจะเบากว่านี้ หรือรุนแรงกว่านี้ก็เอาไปตอบกัน และเอาเข้าจริง เขียนเบาก็สามารถที่บริภาษรุนแรงได้ในเวลาที่อภิปราย และประธานก็ค่อยคุมเกม เพราะข้อบังคับก็มีอยู่แล้วว่าการอภิปรายจะต้องไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย ไม่ซ้ำซาก วกวน หยาบคายฯลฯ ก็เอาไว้วินิจฉัยกันตอนที่พูด แต่ในช่วงยื่นญัตติไม่มีข้อบังคับเขียนเอาไว้ เพราะเขาก็ไม่คาดคิดว่าจะมีอย่างนี้ แต่ในแง่ของรัฐมนตรีทั้ง 6 คนไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาอะไร เพราะไม่ว่าจะเขียนอย่างไรมาก็ต้องไปตอบอยู่ดี”นายวิษณุกล่าว 

เมื่อถามว่า ภายหลังการอภิปรายแล้ว จะสามารถเอาผิดข้างนอกได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ในเรื่องของญัตติคงไม่สามารถทำได้ แต่ในเรื่องของการอภิปรายทำได้ เพราะมีการถ่ายทอด ซึ่งไม่มีกฎหมายหรือข้อบังคับคุ้มครอง หากมีการไปพูดในลักษณะดูหมิ่นหรือเป็นการพูดหมิ่นประมาท ใครเสียหายก็สามารถฟ้องร้องได้ ทั้งนี้ในส่วนของประธานจะต้องคุมเกมให้อภิปรายอยู่ในร่องในรอย และเมื่อถอนคำพูดไปแล้วก็ถือว่าหมดไปจากรายงานการประชุม

ผู้สื่อข่าวถามว่าส่วนตัวมีองครักษ์พิทักษ์เหมือนกับคนอื่นหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มี ไม่เคยได้ยินและไม่คิดว่าจะต้องมีด้วย แต่ถ้ามี เข้าใจว่าเขาคงปกป้องระบบหรือระเบียบข้อบังคับ หรือส่วนที่จะกระทบต่อรัฐบาลมากกว่า  แต่ถ้าเป็นการกระทบต่อส่วนตัว คงไม่มีองครักษ์คนไหนมาทำอะไรอย่างนั้น และบังเอิญรัฐบาลก็ไม่ได้สนิมสร้อยอะไรด้วย

เมื่อถามว่าในที่ประชุม ครม.มีการพูดคุยถึงข้อความในญัตติหรือว่ามีถ้อยคำที่รุนแรงหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มี พูดแต่เรื่องกำหนดวันที่จะอภิปรายเท่านั้น ซึ่งได้มีการพิจารณาจากมติของวิปและพิจารณาถึงวาระงานของรัฐมนตรีทั้ง 6 คนโดยเฉพาะ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศที่อาจต้องมีราชการในต่างประเทศ ซึ่งสะดวกในช่วงนั้นพอดี ทั้งนี้ใช้เวลา 3 วันในการอภิปรายฯรัฐมนตรี 6 คนถือว่าเหมาะสมแล้ว

สำหรับการเตรียมข้อมูลนั้นรองนายกฯ กล่าวว่า รัฐมนตรีทุกคนก็ต้องเตรียม เพราะรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ยกเว้นบางเรื่องที่เป็นข้อมูลเชิงลึกก็อาจต้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปอยู่เตรียมข้อมูลที่สภาด้วย

“สำหรับผมทราบข้อกล่าวหาแล้ว 3 ข้อ คือ 1.ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุคคลอื่น จนกระทั่งทำให้รัฐเสียรายได้จำนวนมาก 2.ตีความบังคับใช้กฎหมายผิดไปจากบรรทัดฐานและหลักการที่มีอยู่ เป็นการใช้อภินิหารในทางกฎหมาย และ 3.ชี้นำองค์กรอิสระ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เอื้อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ผมท่องจำขึ้นใจ ซึ่งผมถือหลักที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นธรรมะวันละบทคือ มือที่ไม่มีบาดแผล แม้จับยาพิษก็ไม่ซึมซับเข้าสู่ร่างกายได้”

ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะที่คร่ำหวอดในทางการเมืองที่สุดของรัฐมนตรีทั้ง 6 คนที่ถูกอภิปรายฯ เป็นห่วงใครที่สุด นายวิษณุ กล่าวว่า “เป็นห่วงตัวเอง จะไปยุ่งอะไรกับคนอื่น”

เมื่อถามว่า นายกฯสามารถมอบให้รัฐมนตรีท่านอื่นช่วยชี้แจงด้วยได้ นายวิษณุ กล่าวว่า นายกฯเป็นหัวหน้ารัฐบาล และความอยู่รอดหรือไม่รอดของหัวหน้ารัฐบาลก็คือความอยู่รอดหรือไม่รอดของครม.ทั้งคณะ ถ้านายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง คณะรัฐมนตรีทั้ง 36 คนพ้นด้วย ดังนั้นการกล่าวหานายกฯแม้นายกฯคือนายกฯ แต่ความเป็นจริงคือความอยู่รอดของของรัฐบาลทั้งชุด เพราะฉะนั้นญัตติทั้ง 30 ประเด็นที่ตั้งมานั้นก็คงจะได้เห็นแล้วว่าหลายเรื่อง เป็นเรื่องของคนอื่นและเป็นเรื่องของรัฐบาลที่แล้ว และบางครั้งไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลแต่เป็นเรื่องของ คสช.ด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อนายกฯต้องตอบก็จำเป็นจะต้องให้ผู้ที่รู้เรื่องมาช่วยชี้แจง ซึ่งไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและไม่ขัดต่อข้อบังคับการประชุมสภา แต่โดยหลักคิดว่านายกฯตอบเองทั้งนั้น