ภาระหลักและเร่งด่วนของ “นักการเมือง”


เพิ่มเพื่อน    

       เกือบลืมๆ ไปแล้ว...ว่ายังมีเรื่อง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่รัฐบาลท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ยังคงต้องฝ่าด่าน ฝ่าอุปสรรค กันอีกกระทอก ด้วยเหตุเพราะข่าวเรื่องไวรัส ไวรัล มันกลบไปซะหมด จนกระทั่งเมื่อผู้ซึ่งเคยอยู่ใน คอกเดียวกัน อย่างนาย แรมโบ้, แรมบ้า ออกมาร้องท้าท่านประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ แห่งพรรคเผาไทย ก็เลยพอจำๆ ขึ้นมาได้มั่ง...

                                 --------------------------------------------------

                คือคงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...แม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้านเที่ยวนี้ จะได้ ขุนศึกฝั่งธนฯ อย่าง สารวัตรเหลิม ผู้อ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น มาเป็นหัวหงอก (หอก) เพียงแต่ว่าไม่ได้ลงเล่น และไม่ได้นั่งม้านั่งสำรอง แต่ยืนเกร่ไป เกร่มา ข้างๆ สนาม ในฐานะ โค้ช หรือ ผู้จัดการทีม อะไรประมาณนั้น ซึ่งในแง่ระดับราคาแล้ว ก็คงไม่น้อยไปกว่า อภิมหาโค้ช อย่าง โฮเซ มูรินโญ เอาเลยก็ว่าได้...แต่ก็อย่างว่า...มูรินโญ หลังๆ นี้ ก็เลยจุด พีก ไปนานแล้ว จนอาจมีสภาพไม่ต่างไปจาก สารวัตรเหลิม ทุกวันนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่จะคิด แต่โดยสรุปรวมความแล้ว คงมิอาจปฏิเสธได้ว่า โดยสีสัน บรรยากาศ ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเที่ยวนี้ ดูจะไม่ถึงกับคึกๆ คักๆ กระเหี้ยนกระหือรือ สามารถเปล่งรังสีอำมหิตได้มากมายซักเท่าไหร่...

                                    -------------------------------------------------

                จะด้วยเหตุเพราะตำแหน่งประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ มันออกจะมีความ ซ้อนทับ กับตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคเผาไทย เขาหรือไม่ อย่างไร ก็ยากที่จะสรุป แต่โดยลักษณะอาการ มันออกไปทาง กึ๊กๆ กั๊กๆ คล้ายๆ ประเภทพอคิดจะยักตื้นก็ติดกึก ยักลึกก็ติดกัก อะไรประมาณนั้น แค่เฉพาะการกำหนด เป้าหมาย ว่าจะถล่มใคร ไม่ถล่มใคร ใครที่ควรจะใส่กันแบบสุดฤทธิ์ สุดหลอด ใครที่ควรง้างตีนรอ เพียงเท่านี้...ก็ดูเหมือนจะหาจุดลงตัวแทบไม่ได้ ส่งผลให้ ฉลาม ที่เคยน่าสะพรึงกลัว สามารถได้กลิ่นเลือดแม้อยู่ห่างไกลไปเป็นกิโลเมตรๆ ก็เลยแทบกลายเป็น ปลาการ์ตูน ชนิด ปลาตีน อย่าง แรมโบ้ หรือ แรมบ้า กล้าออกมาร้องท้า เปล่งเสียงตะโกนอยู่หน้าค่ายกันเห็นๆ...

                                   ---------------------------------------------------

                พูดง่ายๆ ว่า...ถึงแม้รัฐบาลจะอยู่ในช่วง ขาลง โดยบางครั้ง บางครา ก็ลงแบบหน้าคว่ำ คะมำหงาย อยู่พอสมควร แต่สำหรับฝ่ายค้านแล้ว ก็ดันตกอยู่ในสภาพ แค่ลุกขึ้นยืนก็ยืนแทบไม่ได้ ออกอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต กันไปแทบทั้งระบบ อะไรก็ตามที่คิดจะออกมา ค้าน ก็ดูจะหนักไปทาง แค้น ซะเป็นหลัก คือไม่ได้ก่อให้เกิดสาระ เกิดประโยชน์โพดผล สำหรับ ส่วนรวม หรือสำหรับชาติ บ้านเมือง ซักเท่าไหร่นัก แม้แต่ระดับประธานยุทธศาสตร์ของพรรคก็เถอะ คิดขยับปาก ขยับกราม ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็มักต้องเจอรองเท้าแตะ สากกะเบือบิน ของใครต่อใคร ที่แม้ไม่ใช่ ติ่งของรัฐบาล เอาเลยก็ตาม แต่ยังอดไม่ได้ที่จะออกอาวุธใส่ ท่านประธานยุทธศาสตร์ อย่างคุณหญิง เจ๊สุดาหน่อย แบบชนิดดอกแล้ว ดอกเล่า เนื่องจากการออกมา ค้าน อะไรต่อมิอะไร มันมักหนักไปทาง แค้น นั่นเอง...

                                  ------------------------------------------------

                สรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าโดยสภาพแวดล้อมทางการเมืองช่วงนี้ จะทำให้รัฐบาลย่ำแย่กันไปถึงขั้นไหน แต่ฝ่ายค้านก็น่าจะยู่ยี่ ยับเยิน ไม่ต่างอะไรไปจากกัน ชนิดอาจต้องสรุปเอาดื้อๆ ว่า เผลอๆ ระบบรัฐสภา ทั้งระบบนั่นแหละ อาจเป็นสิ่งที่ไม่ได้ก่อให้เกิดความเชื่อมั่น เชื่อใจ หรือความเชื่อถือ ศรัทธา ในหมู่บรรดาปวงชนชาวไทยทั้งหลายมากมายซักเท่าไหร่นัก และโดยข้อสรุปเช่นนี้ ก็คงไม่ได้เกิดขึ้นแต่เฉพาะ สภาไทย หรือ สัปปายะสภาสถาน แต่เพียงล้วนๆ เพราะถ้าดูจากผลงานการวิจัยชิ้นล่าสุดของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หรือ University of Cambridge’s new center for the Future of Democracy ที่ตีพิมพ์ เผยแพร่ เมื่อช่วงวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา โดยลงทุนไปสำรวจ วิจัย ความคิด ความเห็น ของกลุ่มตัวอย่างไม่น้อยกว่า 4 ล้านคน จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก  จำนวน 154 ประเทศ แบบต่อเนื่อง ยาวนาน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 จนถึง ค.ศ.2020 ก็เจอกับข้อสรุปในทำนองเดียวกัน นั่นก็คือว่า...บรรดา ปวงชนชาวโลก ทั้งหลายโดยส่วนใหญ่ หรือจำนวนถึง 57.5 เปอร์เซ็นต์ ต่างรู้สึกไม่พึงพอใจ ไม่เชื่อมั่น ไม่ศรัทธา ต่อ ระบอบประชาธิปไตย ภายในประเทศตัวเองไปด้วยกันทั้งนั้น...

                                    --------------------------------------------------

                เรียกว่า...ไม่ว่าประเทศ พัฒนาแล้ว หรือ กำลังพัฒนา ไม่ว่าอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ออสเตรเลีย ไปยันญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ หรือประเทศในลาตินอเมริกา อย่างบราซิล เม็กซิโก ไปจนถึงแอฟริกา เอเชีย และตะวันออกกลาง ต่างคิดเห็นไปในแนวเดียวกัน คือมองว่าประชาธิปไตย หรือการเลือกตั้ง เป็นเรื่องของ หมาป่า 2 ตัวกับลูกแกะ ที่กำลังออกเสียงว่าจะเอาอะไรเป็นอาหารเย็นกันดี อะไรประมาณนั้น เพราะสุดท้ายแล้ว...ประชาชน นั่นแหละ หนีไม่พ้นต้องถูก แ-ก กันร่ำไป ไม่ว่าจะเลือกหมาป่าตัวไหนก็ตามที ด้วยเหตุเพราะปวงชนชาวโลกโดยส่วนใหญ่ หรือ 57.5 เปอร์เซ็นต์ เริ่มคิดเห็นไปในแนวนี้ เลยทำให้ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ท่านเลยต้องสรุปไว้ด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า นี่คือ ภาวะถดถอยทางประชาธิปไตย (Global Democracy Recession) ซึ่งกำลังอุบัติขึ้นมาแล้วในโลกทุกวันนี้...

                                   ----------------------------------------------------

                ด้วยเหตุนี้...ก็เอาเป็นว่า ไม่ว่าการปะทะระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะเป็นไปในรูปไหน ก่อนอภิปราย ระหว่างอภิปราย หรือหลังการอภิปราย บรรดา นักเลือกตั้ง ทั้งหลาย คงต้องเก็บเอาสิ่งเหล่านี้ มาใคร่ครวญ พิจารณา ให้จงหนัก ว่านอกเหนือจาก ชัยชนะ หรือ ความพ่ายแพ้ ของฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใดแล้ว การหาทางประคับประคองประชาธิปไตย ไม่ให้ต้องกลายเป็น ประชาธิป...ตาย ไปก่อนเวลาอันควร ยังถือเป็นภาระเร่งด่วน และภาระหลัก ของบรรดา นักการเมือง ทุกๆ ฝ่ายนั่นแล...

                                ------------------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก George Bernard Shaw... “Democracy is a device that ensures we shall be governed no better than we deserve. – ประชาธิปไตยคือเครื่องมือที่รับประกันว่า เราจะได้รับการปกครองที่แย่กว่าที่เราสมควรจะได้รับ...”

                               ---------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"