โดย จิตติมา กุลประเสริฐรัตน์ ([email protected])
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้าเมืองไทย ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เกิดมาเป็นปีแล้วและทวีความรุนแรงขึ้นทุกที เป็นภัยเงียบที่จะส่งผลระยะยาว โดยเฉพาะในเด็กเล็กซึ่งเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคตต้องมีปอดที่สะสมไปด้วยฝุ่นที่มองไม่เห็นเหล่านี้ ในฝุ่น PM2.5 ยังมีส่วนผสมของโลหะหนักได้แก่ ตะกั่ว สังกะสี แมกนีเซียม ฯลฯ ซึ่งเมื่อสูดสารเหล่านี้เข้าไปจะทำให้ไตทำงานหนัก และโรคที่มาพร้อมกับ PM 2.5 ได้แก่ โรคผิวหนังมะเร็งปอด โรคระบบทางเดินหายใจ โรคหลอดเลือดในสมองตีบ ซึ่งมีความเสี่ยงในการเป็นอัมพาต ไม่เพียงแต่คนที่มีผลกระทบ ตอนนี้เริ่มมีสุนัขและแมวตายเพราะฝุ่นนี้แล้ว แต่ยังไม่เห็นการแก้ปัญหาของรัฐบาลแบบเป็นรูปธรรมออกมาให้ประชาชชนเบาใจ
มาดูการแก้ปัญหาของรัฐบาลกัน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมาว่า “สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในขณะนี้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2562 และขอความร่วมมือประชาชนอย่าตื่นตระหนก ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมแนะนำให้ประชาชนวัดค่าฝุ่นจากหน่วยงานภาครัฐ และจะมีการแจ้งเตินจากกรมควบคุมมลพิษวันละ 3 เวลา” ในขณะที่นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนระหว่างลงพื้นที่ชุมชนเทศบาลเมืองสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ 19 มกราคมนี้ว่า “ฝุ่น PM 2.5มันมีผลต่อผู้มีอายุน้อยๆ เด็ก ทารกมีครรภ์ คนชรา คนที่มีโรคประจำตัว นอกนั้นแข็งแรงพอสู้ไหว อย่างผมนี่พอไหว ถ้าใครรู้ว่าเสี่ยงก็ปิดจมูก ใส่หน้ากากไป ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ปลอดภ้ย”
เมื่อฟังการแก้ปัญหาจากลมปากผู้บริหารประเทศแล้ว ประชาชนอย่างเราต้องก้มหน้าซื้อหน้ากากและเครื่องฟอกอากาศเพิ่ม เนื่องจากหมดหวังกับการแก้ปัญหาของท่านผู้นำ ท่านจะทราบหรือไม่ว่า PM 2.5 จะอยู่กับเราไปจนถึงเดือนมีนาคม เราต้องผจญกับฝุ่นที่เมื่อสูดเข้าไปแล้วไม่มีทางออกมาได้ไปอีกหลายเดือน ปอดท่านนายกคงสู้ไหว แต่ปอดของลูกหลานเราจะทนได้หรือไม่ ผลระยะยาวจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ ในขณะที่หลายโรงเรียนสั่งปิดโรงเรียนเริ่มจากโรงเรียน 437 แห่งในกทม. และการแก้ปัญหาจากผู้ว่ากทม.คือการแจกหน้ากาก N95 จำนวน 10,000 ชิ้น และประสานหน่วยงานต่างๆในการฉีดน้ำเพื่อไล่ฝุ่นละออง ทั้งๆที่เรากำลังจะเผชิญกับภัยแล้งและรณรงค์เรื่องการใช้น้ำอย่างประหยัด อยากจะเรียนท่านผู้นำทั้งหลายว่าหากคิดไม่เป็นว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรให้ไปลอกของประทศจีนที่ใช้มาตรการจนสามารถลดค่า PM 2.5 โดยเฉลี่ยตลอดทั้งปีที่ปักกิ่งในปี 2019 ลดต่ำลงจากปี 2013 ถึง 53% ไม่ใช่มาบอกว่าค่าเฉลี่ยปีนี้น้อยกว่าปีก่อนแล้วไม่ทำอะไรเลย
สหราชอาณาจักรก็ใช้เวลาเพียงปีเดียวในการแก้ปัญหา PM 2.5 ในกรุงลอนดอน การพลิกกลับจากเมืองที่ประชากรทุกคนต้องทนสูดอากาศพิษไปสู่การเป็นเมืองที่อากาศสะอาดที่สุดในโลกได้นั้น เกิดจากนโยบายและมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาวควบคู่กับการมุ่งกำจัดมลพิษที่เกิดขึ้นแล้ว และการป้องกันไม่ให้เกิดการสร้างมลพิษไปพร้อมๆกัน เริ่มด้วยการตั้งเป้าหมายสู่อนาคตที่สะอาด การปรับปรุงรถบัสรถเมล์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการเก็บค่าธรรมเนียมยานยนต์ที่สร้างมลพิษทุกประเภท หากรัฐบาลเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนเพราะยังหายใจกันได้ ญาติพี่น้องยังไม่มีใครตายเพราะฝุ่น แต่ประชาชนอาจทนไม่ไหวและลุกฮือเกิดม้อบใส่หน้ากากในไม่ช้าก็เป็นไปได้ ใครจะรู้ อย่าเล่นกับความรู้สึกของประชาชน เมื่อหมดความอดทนอะไรก็เกิดขึ้นได้ รัฐบาลนี้อาจแพ้ฝุ่นเสียเอง
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |