27ม.ค.63-ตั้งคณะอนุฯ 7 ด้าน ขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เล็ง จัดเวทีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง หวัง ให้การดำเนินงานของ ศธ.มีความเห็นที่หลากหลายมากขึ้น พร้อมกับเตรียมแก้กฎกระทรวง ผุดหลักสูตรเตรียมอาชีวะ
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ในที่ประชุมสภาการศึกษาได้มีการพิจารณาแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบก่อนหน้านี้ โดยที่ประชุมได้นำประเด็นหลักทั้ง 7 เรื่องในแผนปฏิรูปดังกล่าวมาวางเป็นหลักในการทำงาน ได้แก่ 1.การปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศโดยพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่และกฎหมายรอง 2.การปฏิรูปการพัฒนาเด็กเล็กและเด็กก่อนวัยเรียน 3.การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ 4.การปฏิรูปกลไกและระบบการผลิต คัดกรอง และพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพ 5.การปฏิรูปการจัดการเรียนการสอนเพื่อตามสนองความเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 6.การปรับโครงสร้างของหน่วยงานในระบบการศึกษา เพื่อบรรลุเป้าหมายในการปรับปรุงการจัดการเรียนการสอน และยกระดับคุณภาพของการจัดการศึกษา และสุดท้าย 7.การปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้โดยการพลิกโฉมด้วยระบบดิจิทัล ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิรูปดังกล่าวอยู่แล้ว เพียงแต่ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการขอความร่วมมือจากทางกรรมการในสภาการศึกษาให้ตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนงานทั้ง 7 ด้าน ตามความถนัดของแต่ละบุคคล และระดมความคิดจากประชาชน นักวิชาการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆ ซึ่งเมื่อดำเนินการในลักษณะนี้แล้ว ศธ.ก็จะจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดเวทีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ซึ่งหวังว่าการระดมความคิดเพิ่มเติมจะนำมาประสานกับแนวทางการดำเนินงานของ ศธ.ให้มีความเห็นที่หลากหลายมากขึ้น
“การดำเนินการดังกล่าวเป็นการวางเป้าหมายในการปฏิรูป ซึ่งหลายเรื่อง ศธ.ดำเนินการอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องการให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละภาคส่วน รวมถึงเจ้าที่ของรัฐ ประชาชน ได้เปิดวงแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม จากแนวทางเดิมๆ ที่ ศธ.เคยกำหนดไว้ "
รมว.ศธ.กล่าวอีกว่านอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาเรื่องการแก้กฏกระทรวง เพื่อรองรับเรื่องหลักสูตรเตรียมอาชีวศึกษา ด้วย เนื่องจากเราหวังเน้นว่าอาชีวศึกษาจะเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนประเทศ ส่วนเรื่องการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีพมากขึ้นเป็น 50:50 นั้น ขณะนี้ทุกภาคส่วนมีความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เหลือเพียงในส่วนของการปฏิบัติ ซึ่งคาดหวังว่าจะเกิดผลภายในเดือนพฤษภาคมนี้
"อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ยาก เพราะผู้ปกครองยังคงมีความไม่เข้าใจ หรือผูกพันกับสายสามัญ ก็ไม่เป็นไร และผมเชื่อว่าหากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ แสดงถึงแนวทางที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาอีกไม่กี่เดือนนี้ อาจะทำให้ผู้ปกครองเห็นถึงความสำคัญของอาชีวะ และประโยชน์ที่ผู้เข้าเรียนจะได้เข้าสู่สายการทำงาน เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวได้”รมว.ศธ.กล่าว