"ป้อม" แจง คสช.เห็นร่วมกันปลด "สมชัย" พ้น กกต. "วิษณุ" อ้างเหตุปลดในราชกิจจาฯ ระบุยังสามารถเป็นเลขาฯ ได้ ยัน กกต.ทำงานได้ปกติ "ปชป.-พท." ย้อนคำสั่ง ม.44 พักราชการ "ประวิตร" ปมนาฬิกาหรูจะมีเหตุผลกว่า เชื่อเหตุวิจารณ์ คสช. ด้านสมชัยทยอยเก็บของ แย้มกลับไปพีเน็ต ลั่นจะแสดงความเห็นมากกว่าเดิม ไม่หวั่น คสช.เพ่งเล็ง โต้ปมขัดกันแห่งผลประโยชน์ รองเลขาฯ 2 คนก็ไม่ลาออก ชี้ส่งสัญญาณ กกต.ชุดเดิมจัดเลือกตั้ง ศาลฎีกาอุดช่องโหว่แก้ปัญหาเลือก 2 กกต.ไม่เปิดเผย "ฉัตรไชย-ปกรณ์" ขอแก้มือลงสมัครอีกรอบ
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 ปลดนายสมชาย ศรีสุทธิยากร ออกจากกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ในมาตรา 44 ก็ได้บอกในรายละเอียดไปหมดแล้ว ตามคำสั่งของหัวหน้า คสช. ให้ไปอ่านในคำสั่ง เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบ แม้ว่า กกต.ทำหน้าที่เป็นองค์กรอิสระ และเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ได้มีการหารือกันในที่ประชุม คสช. และทุกคนก็มีความเห็นด้วย
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเช่นกันว่า การออกคำสั่งครั้งนี้ ได้มีการหารือในที่ประชุม คสช. ส่วนรายละเอียดในการหารือนั้น ไม่สามารถพูดได้ และเหตุผลในการปลดนายสมชัยนั้น มีการชี้แจงในราชกิจจานุเบกษาอยู่แล้ว อย่าพูดเป็นอย่างอื่นให้เสียหายแก่ผู้ใด
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ระบุว่านายสมชัยพูดทำให้เกิดความสับสน เป็นเพราะมีการแสดงความเห็นไปก้าวล่วง คสช.ใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ตนไม่ทราบคำพูดของนายสมชัย ไม่คิดว่าจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว แต่ไม่ใช่ไม่กลัว การที่จะมีนายสมชัยหรือไม่มีนั้น ไม่ได้กระทบกับการทำงานของรัฐบาลให้ราบรื่นหรือสะดุดได้ เพราะต่างคนต่างทำงาน และจะไม่กระทบโรดแมปเลือกตั้ง เพราะขณะนี้ กกต.ที่เหลืออยู่ 4 คนสามารถทำงานได้ตามปกติ จนกว่า กกต.ชุดใหม่จะเข้ามา
เมื่อถามว่า นายสมชัยจะสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นเลขาฯ กกต.ได้หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ได้ เพราะสมัครไปแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการ ส่วนที่มองว่า กกต.ชุดปัจจุบันจะไม่เลือกนายสมชัยเป็นเลขาฯ เพราะมีความขัดแย้งกับรัฐบาลนั้น ใครจะไปรู้ เพราะ กกต. 4 คนที่เหลืออยู่เป็นคนเลือก เรื่องนี้รัฐบาลไม่เกี่ยว สภาไม่เกี่ยว การที่นายสมชัยยุติหน้าที่ กกต. ยังมีคุณสมบัติที่จะสมัครเข้ารับการคัดเลือกเลขาฯ กกต.อยู่ เพราะผลประโยชน์ไม่ขัดกันแล้ว การคัดเลือกเลขาฯ กกต.คนใหม่ดำเนินการต่อไป เพราะมีตารางเวลาที่ชัดเจน และนายสมชัยยังสามารถสมัครตำแหน่งอื่นๆ ได้ เพราะไม่ติดแบล็กลิสต์อะไร
ถามว่า นายสมชัยจะไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมได้หรือไม่ นายวิษณุบอกว่า อย่าไปคิดให้ท่าน เพราะเพิ่งออกจากตำแหน่ง ส่วนที่นายสมชัยโพสต์เฟซบุ๊กว่าเป็นเกียรติยิ่งที่ได้เปิดหน้า คสช.นั้น จะทำอะไรทำไป ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ คสช.จะต้องดำเนินการ นายสมชัยก็ยังแสดงความคิดเห็นกันอยู่ ไม่เห็นเป็นอะไร
"กกต.ชุดเก่าสามารถจัดการเลือกตั้งได้ แต่หาก กกต.ชุดใหม่มาก็ให้เขาทำ เพราะ กกต.ที่สรรหามาใหม่ 7 คนจะดีกว่า กกต. 4 คนอยู่แล้ว ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นเชื่อว่า กกต.ชุดใหม่เข้ามาทำงานได้แล้ว แต่จำเป็นต้องมี กกต.ชุดเก่า เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่าง ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญระบุว่าการจัดการเลือกตั้งจะมี กกต.ไม่น้อยกว่า 4 คน ส่วนที่ในคำสั่ง คสช.มีการต่ออายุให้กับ กกต. เนื่องจากนายบุญส่ง น้อยโสภณ กกต. จะมีอายุครบ 70 ปี ส่วนต้นปี 62 ยังไม่มีการจัดการเลือกตั้ง ประธาน กกต.จะมีอายุครบ 70 ปีเช่นกัน จึงต้องเขียนให้อยู่ต่อ จะได้หมดเรื่อง" นายวิษณุกล่าว
ขณะที่นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้าการใช้มาตรา 44 มีเหตุผล หรือมีน้ำหนักเพียงพอ ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ถ้าเป็นการออกมาเพราะนายสมชัยพูดไม่ถูกใจผู้มีอำนาจ จะทำให้ผู้ออกคำสั่งนี้มีความเชื่อถือน้อยลง ตนได้ดูเหตุผลในการให้นายสมชัยยุติการทำหน้าที่แล้ว ทั้งเรื่องการให้สัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำไม่เหมาะสม หรือการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เพราะสมัครเข้ารับการคัดเลือกเลขาธิการ กกต. ซึ่งเห็นว่าแม้นายสมชัยจะให้สัมภาษณ์เยอะ แต่ถ้าเทียบมาตรฐานนี้กับบางคนในรัฐบาล เห็นว่าบางคนอาจจะมีปัญหามากกว่า จึงมองว่าการใช้มาตรา 44 ครั้งนี้ขาดเหตุผลที่มีน้ำหนักพอสมควร
ปลด"เสี่ยป้อม"มีเหตุผลกว่า
"การใช้อำนาจจะต้องมีเหตุผลเพียงพอ เช่น ถ้าใช้พักราชการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม จนกว่า ป.ป.ช.จะดำเนินการเรื่องนาฬิกาหรูเสร็จสิ้น เพื่อความโปร่งใส หรือจะใช้เพื่อทำให้การดำเนินคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ในคดีล่าสัตว์ป่าสงวน ยังจะมีน้ำหนักกว่าใช้ปลดนายสมชัยออกจากตำแหน่งมากกว่า กลายเป็นว่าตอนนี้ใครทำงานสนองรัฐบาลก็ได้อยู่ต่อไป ถ้า กกต.ที่เหลืออีก 4 คนไม่วิจารณ์ หรือให้ความเห็น แต่สามารถทำให้เกิดการเลือกตั้งยุติธรรมตามกฎหมายได้ เราก็ว่าเขาไม่ได้ แม้ว่านายสมชัยจะพูดอะไรที่ไม่ถูกใจผู้มีอำนาจ หรือเลอะเทอะบ้าง เรื่องนี้ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ทางรัฐบาลไม่มีสิทธิ์ปลดเขา" นายสาธิต กล่าว
ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่เชื่อว่าสาเหตุที่ พล.อ.ประยุทธ์สั่งปลดนายสมชัย เป็นเพราะเป็นห่วงเรื่องผลประโยชน์ขัดกัน ถ้าย้อนดูพฤติกรรมของรัฐบาลที่ผ่านมา จะเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องหลักผลประโยชน์ทับซ้อน หรือหลักผลประโยชน์ขัดกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เอานายทุนรายใหญ่ไม่กี่เจ้าที่ทำธุรกิจแบบผูกขาดมานั่งกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศร่วมกับรัฐบาล ทั้งที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และจะทำให้เอกชนรายย่อยเสียเปรียบ แล้วที่อ้างว่านายสมชัยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมนั้น อยากถามว่าคนข้างตัวท่านที่อ้างว่ายืมนาฬิกาเพื่อนมาใส่ 25 เรือน แบบนี้มีพฤติกรรมเหมาะสมนักหรือ
"พล.อ.ประยุทธ์คงลืมดูตัวเองว่าเป็นทั้งหัวหน้าคสช. เป็นทั้งนายกฯ รับเงินเดือนหลายๆ ทางเช่นกัน โดยไม่คำนึงถึงหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ แถมตอนนี้เป็นนายกฯ อยู่ แต่ก็ใช้งบประมาณแผ่นดินโปรยเงินผ่านนโยบายประชานิยมหาเสียงล่วงหน้า ที่แย่กว่านั้นคือลิ่วล้อก็เอาอย่างท่านหมด ถามว่าพฤติกรรมแบบนี้ ถ้าไม่เรียกว่ามีผลประโยชน์ขัดกัน แล้วจะให้เรียกว่าอะไร สาเหตุหลักที่นายสมชัยถูกปลด น่าจะเป็นเพราะกล้าวิจารณ์รัฐบาลแบบตรงไปตรงมา และรัฐบาลสั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้อีกต่อไปมากกว่า" ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าว
ทางด้านนายสมชัย ให้สัมภาษณ์นายสุทธิชัย หยุ่น ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ช่วงดึกที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า หน้าร้อนหิมะก็ตกได้ สิ่งที่ตนพูดไปจริงหมด แต่สถานการณ์ปัจจุบันคนไม่กล้าพูด ไม่ได้ท้าทาย แต่อาจไม่ตรงใจผู้มีอำนาจ เพราะแทนที่เขาจะไปได้คล่องๆ ไม่มีใครจับได้ไล่ทัน ซึ่งตนพูดความจริงไม่ได้สร้างความสับสน
ส่วนการขัดกันแห่งผลประโยชน์ นายสมชัยกล่าวว่า คนอื่นสมัครลาออกหรือเปล่า รองเลขาฯ กกต.สมัคร 2 คน ลาออกหรือเปล่า ตนยอมลงมาในตำแหน่งที่ต่ำกว่า ไม่มีใครคิดหรอกว่าลงมาในตำแหน่งต่ำกว่าจะดีกว่า ก็แล้วแต่ กกต.ทั้ง 4 คน จะโหวตให้เป็นหรือไม่ ถ้าโหวตให้เป็นเลขาฯ ก็ยินดีรับใช้ท่านในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา ฉะนั้นเหตุผลเพราะเกิดการรู้ทันกัน ไม่ใช่ขัดกันแห่งผลประโยชน์
นายสมชัยยังตั้งข้อสังเกตคำสั่งใน ม.44 ที่ให้ กกต.อายุครบ 70 ปีอยู่ต่อ ทั้งที่ยังไม่ครบเลย สัญญาณแบบนี้สงสัยว่าชุดนี้อาจได้จัดการเลือกตั้ง (หัวเราะ) ไม่พอใจตนคนเดียวจะไปเซตซีโรทำไม ตนเป็นคนเดียวทำให้เกิดเรื่องขนาดนี้ มันเป็นขบวนการที่ไม่เป็นมาตรฐาน เป็นความด่างพร้อยที่เกิดขึ้น ตนทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ภายใต้ประสบการณ์ความรู้ความสามารถ ตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร อยู่เฉยๆ ไม่ได้
ต่อมาในวันพุธ นายสมชัยได้เดินทางมาสำนักงาน กกต. เพื่อเคลียร์งานและเก็บของ หลัง คสช.มีคำสั่งให้ยุติการทำหน้าที่ โดยให้สัมภาษณ์ว่า ของที่จะมาเก็บมีจำนวนไม่มาก เพราะได้ทยอยเก็บไปก่อนหน้านี้แล้ว คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 วันในการเก็บของ และวันศุกร์น่าจะเป็นวันสุดท้าย ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไร โดยเฉพาะการเรียกร้องความยุติธรรม หลังจากนี้ก็ยังทำงานทุกวันเพียงแต่ว่าจะไปทำงานที่ไหนเท่านั้นเอง บทบาทการตรวจสอบการเลือกตั้งก็จะทำต่อไป
สมชัยยันไม่กระทบ กกต.
"หลังจากพ้นการเป็น กกต.ก็จะไปทำงานที่พีเน็ต และหลังจากนี้ การแสดงความคิดเห็นก็จะเต็มที่เหมือนเดิม และจะขยายขอบเขตได้มากขึ้น จากเดิมที่พูดแต่เรื่องของการเลือกตั้ง เมื่อไม่มีตำแหน่งหน้าที่ การให้ความเห็นต่อสาธารณะก็จะพูดได้กว้างขวางมากขึ้น ผมพ้นจากตำแหน่งก็ไม่กระทบต่อการทำงานของ กกต. เพราะมี 4 คนก็ทำงานได้ โรปแมปไม่เคลื่อนอยู่แล้ว เพราะไม่มี กกต.สมชัย แต่มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น"
นายสมชัยกล่าวถึงการโพสต์เฟซบุ๊กรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งทีได้เปิดหน้า คสช.ว่า เป็นความรู้สึกที่เป็นเกียรติจริงๆ เพราะไม่เคยมีใครที่จะได้เป็นข่าวลงหนังสือพมพ์หน้า 1 ทุกฉบับ และเป็นข่าวยาวๆ ในสื่อโทรทัศน์ และไม่กลัวว่าจะถูก คสช.เพ่งเล็งในการแสดงความเห็น เพราะรู้ตัวว่าพูดอะไร ไม่เคยพูดสิ่งที่เป็นเท็จ หยาบคาย ปลุกระดม นำเสนอแต่ข้อเท็จจริง ตนน้อมรับคำสั่ง และไม่วิจารณ์ วันนี้จึงมาเก็บของอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม นายสมชัยปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่าคำสั่งที่ออกมาเหมือนเป็นการปรามองค์กรอิสระหรือผู้เห็นต่างกับ คสช.หรือไม่ รวมทั้งจะมีผลต่อการควบคุมการเลือกตั้งหรือไม่ โดยบอกว่า หลังเก็บของเสร็จในวันศุกร์เวลา 15.00 น. จะเปิดใจอีกครั้ง ขณะนี้ขอเวลาไปเรียบเรียงเรื่องต่างๆ ให้แล้วเสร็จ แล้วจะมาบอกให้ฟัง แต่เบื้องต้นภรรยาดีใจมากหลังทราบคำสั่ง เพราะก่อนหน้าที่อยากให้ยุติการทำหน้าที่ กกต.
นายสมชัยกล่าวว่า ส่วนตำแหน่งเลขาฯ กกต. คิดว่าคำสั่ง คสช.ไม่ได้มีผลทำให้ขาดคุณสมบัติในการสมัครเลขาฯ เพราะไม่ได้มีกฎหมายใดที่เขียนว่าการถูกคำสั่งให้ยุติการทำหน้าที่เป็นลักษณะต้องห้ามของการสมัคร รวมทั้งตนก็ไม่ได้ถอนตัว ดังนั้นเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหาที่จะตรวจสอบคุณสมบัติ และหากเห็นว่าตนมีคุณสมบัติครบ ก็จะประกาศให้เข้าแสดงวิสัยทัศน์ต่อ กกต. แต่คิดว่าเมื่อมีคำสั่ง คสช.ออกมาในลักษณะนี้ ก็น่าจะสร้างความลำบากใจให้กับ กกต.พอสมควร เพราะถ้าหากจะเลือกเรา เพราะมีวิสัยทัศน์มีประสบการณ์ กกต.เองก็อาจจะลำบากใจที่จะต้องเลือก
"ผมไม่เคยเดินเกม ก็ทำงานของผมไป โดยคิดว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อบ้านเมือง ก็ทำอย่างนั้นไป ไม่เคยคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ถือว่าเป็นการทำงานตามหน้าที่ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผมก็แสดงเตือนหลายครั้ง จนคนคิดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่จริงๆ ไม่ใช่ ผมเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้องก็จะให้ความเห็นในฐานะที่เราเป็น กกต. เห็นว่าอะไรไม่ถูกต้องก็ต้องออกมาเตือนกัน" อดีต กกต.ผู้นี้กล่าว
ส่วนจะมีโอกาสไปเล่นการเมืองหรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่ได้ตอบรับว่าจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด ตอนนี้เป็นได้ทุกอาชีพ ยกเว้นกรรมการองค์กรอิสระ เพราะกฎหมายกำหนดเป็นได้แค่ครั้งเดียว
จากนั้นนายสมชัยได้เดินทางไปหานายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด ที่ร้านกาแฟภายในศูนย์ราชการฯ ซึ่งเป็นสถานที่รวมพลของผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเกรียน เมื่อมาถึงร้านกาแฟ นายสมบัติได้ออกมาต้อนรับ นายสมชัย พร้อมขอแตะมือทักทายกัน โดยนายสมบัติ บอกว่าเป็นการทักทายแบบวัยรุ่น ก่อนจะถามนายสมชัยถึงกระบวนการจดชื่อพรรคเกรียน ว่ากลุ่มตนสามารถใช้ชื่อพรรค “เกรียน” ได้หรือไม่ ซึ่งนายสมชัยกล่าวว่า ตนไม่สามารถตอบในฐานะ กกต.ได้ เนื่องจากพ้นจากตำแหน่งแล้ว
"ฉัตรไฉย-ปกรณ์"ชิง กกต.อีก
นายสมบัติยังได้ชวนให้นายสมชัยเข้าร่วมพรรคเกรียน เพราะนายสมชัยมีคุณสมบัติเหมาะสมกับพรรคเกรียน ไม่เหมาะที่จะไปอยู่พรรคไหนเลย จะได้เกรียนไกล นายสมชัยได้ตอบสั้นๆ ว่า ไม่รีบเข้าพรรคการเมืองไหน ขอคิดก่อน
ทั้งนี้ นายสมบัติเปิดเผยด้วยว่า พรรคเกรียนจดแจ้งพรรคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง กกต.ก็จะรับเอกสารเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง โดยเป็นพรรคที่ 68 ที่มีการจดแจ้งต่อ กกต. ส่วนชื่อพรรคเกรียน มีคนบอกว่าชื่อพรรคอาจจะมีปัญหา แต่ตนมองว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะเปิดพจนานุกรมแล้ว และไม่ขัดต่อกฎหมายแน่นอน พรรคเกรียนมีความหมายว่า สั้น สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย นี่คือคำว่าเกรียน พรรคเรามีสโลแกนว่า เป็นผู้นำความบันเทิง สู่การเมืองไทย เพราะคิดว่าการเมืองไทยเครียดเกินไป เราไม่เน้นหาเสียง แต่เน้นหาเรื่อง ซึ่งเรื่องในที่นี้คือสิ่งที่เราสื่อสารผ่านสังคม และสังคมสื่อสารกลับมา เพื่อเน้นหานโยบายให้ชัดเจน
มีความเคลื่อนไหวในการได้มาซึ่ง กกต.ชุดใหม่ 7 ชื่อ หลังที่ประชุม สนช.ลงมติลับคว่ำทั้ง 7 ชื่อที่กรรมการสรรหาฯ และที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาส่งชื่อไป มีรายงานว่าศาลฎีกาได้ปิดรับสมัครผู้พิพากษาที่ประสงค์จะลงสมัครคัดเลือกเพื่อไปทำหน้าที่เป็น กกต.ไปแล้วเมื่อ 16.30 น. ของวันพุธที่ 21 มี.ค. ที่เป็นวันรับสมัครวันสุดท้าย โดยมีผู้พิพากษาที่ต้องมีคุณสมบัติคือ เคยเป็นหรือเป็นผู้พิพากษาไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา มาสมัครรวมกันทั้งสิ้น 5 คน
โดย 2 ชื่อที่น่าสนใจก็คือ นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาศาลฎีกา และนายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่ทางศาลฎีกาเคยลงมติเลือกให้ไปเป็น กกต.มาแล้ว แต่ถูก สนช.ลงมติลับไม่เห็นชอบด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น โดยมีรายงานว่า สาเหตุที่ สนช.ลงมติไม่เห็นชอบชอบดังกล่าว เพราะ สนช.เกรงว่าจะเกิดปัญหาในเรื่องข้อกฎหมาย เนื่องจากมีข้อทักท้วงว่าการลงมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่เลือกนายฉัตรไชยกับนายปกรณ์ ไม่ใช่การลงมติแบบเปิดเผย จึงอาจเกรงว่าจะเกิดปัญหาในขั้นตอนการนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายหรือถูกตีตกไป หากมีคนยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทำให้ สนช.เทเสียงโหวตไม่เห็นชอบทั้งสองคน
โดยการรับสมัครรอบนี้ก็ปรากฏว่าทั้งนายฉัตรไชยและนายปกรณ์ได้กลับมาสมัครเป็น กกต.อีกรอบ
ส่วนผู้พิพากษาอีก 3 คนที่มาสมัครคือ นายประพาฬ อนมาน ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์, นายทวีป ตันสวัสดิ์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา และนายเกษม เกษมปัญญา ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ภาค อดีตประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจ ในศาลฎีกา
ทั้งนี้ นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา ได้นัดประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อลงมติเลือกผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กกต. ในวันที่ 26 เมษายน 2561 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต้องลงมติเลือก 2 คน ที่จะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง แล้วส่งชื่อไปให้ สนช.ให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
ในการเลือก กกต.รอบนี้ ได้มีการออกระเบียบศาลฎีกาว่าด้วยการคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2561 เพิ่มเติม เป็นฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา โดยระเบียบดังกล่าวเห็นสมควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมการลงมติคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็น กกต. จากระเบียบศาลฎีกาว่าด้วยการคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 เดิมในข้อ 10 เป็นว่า “การลงมติเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็น กกต. ตามข้อ 11 ให้กระทำโดยเปิดเผย ด้วยการทำเครื่องหมายกากบาท (X) อย่างชัดเจน ลงหน้าชื่อตัว และชื่อสกุลผู้ซึ่งตนเลือก จำนวนไม่เกิน 2 คน หรือจำนวนเท่าที่ยังขาดอยู่ในบัตรเลือกที่จัดไว้ ซึ่งระบุชื่อตัวและชื่อสกุล ลำดับหมายเลขตามบัญชีอาวุโสในศาลฎีกา แล้วบัตรเลือกไปมอบให้คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติและนับคะแนน เพื่อดำเนินการนับคะแนนต่อไป” โดยระเบียบศาลฎีกาดังกล่าวยังระบุว่า ให้เลขานุการศาลฎีกาเป็นผู้เก็บรักษาบัตรเลือกไว้ไม่น้อยกว่า 1 ปี และหากไม่มีการโต้แย้งการคัดเลือกเป็น กกต. ก็ให้ดำเนินการทำลายบัตรเลือกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบัญ พ.ศ.2562 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2558
ตบเท้าเบิร์ธเดย์นายกฯ
นอกจากนี้ ประธานศาลฎีกายังได้ลงนามในคำสั่งศาลฎีกาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2561 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติและนับคะแนนรวม 5 คน ซึ่งเป็นระดับผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด โดยมีนายธนิต รัตนะผล ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ
สำหรับความคืบหน้ากรณีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ได้ส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้พิจารณาก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย นายวิษณุ เครืองาม กล่าวว่า นายกฯ พูดไปแล้วว่าไม่ใช่หน้าที่ แล้วตนจะพูดอะไร และไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อ เพราะสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ยังไม่ได้รายงานให้ ครม.ทราบ อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าว สนช.สามารถยื่นตีความได้เอง เมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะยื่นเพียงร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. เพราะเห็นว่าหากมีปัญหาขึ้นมาเรื่องจะใหญ่ จึงตัดไฟแต่ต้นลม ทั้งนี้ เมื่อ สนช.ส่งมาแล้วเราได้รับจะต้องหารือกัน และสอบถามไปที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่าจะยืนยันอย่างไร และถาม สนช.ว่าเหตุใดจึงไม่ยื่นเอง และคุยในรัฐบาลอีกครั้ง
ขณะที่นายพรเพชรกล่าวว่า มั่นใจ สนช.จะไม่ยื่นตีความร่าง พ.ร.บ.ส.ส. และคิดว่าไม่เป็นกับดักจนทำให้เกิดทางตันทางการเมือง เพราะท่าทีฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล รวมถึงผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่มีใครห่วงกังวลในเรื่องนี้ และแม้ว่าในอนาคตจะมีใครไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหลังเลือกตั้ง ก็จะไม่มีปัญหาให้การเมืองเดดล็อก เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ สนช.เขียนมานั้นถูกต้องแล้ว และไม่ได้โยนเผือกร้อนให้นายกฯ ตัดสินใจยื่นตีความหรือไม่ เพราะ สนช.ทำตามขอบเขตอำนาจที่ได้บัญญัติไว้อย่างถูกต้อง
ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.20 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.อ.ท.ภักดี แสง-ชูโต ผู้แทนพระองค์ เชิญแจกันดอกไม้พระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกันนี้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ประทานแจกันดอกไม้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด 21 มี.ค.2561
ต่อมา เวลา 14.30 น. ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นำโดย พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทสส., พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม, พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ., พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ., พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผบ.ทร., พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เข้าอวยพร พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบ 64 ปี โดยทั้งหมดได้เดินขึ้นทางด้านหลังของตึกไทยคู่ฟ้า เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์เปิดให้เข้าอวยพรเป็นการส่วนตัว โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้มอบข้าวพันธุ์ กข 43 ในถุงผ้าให้กับบุคคลที่เข้าอวยพรด้วย ซึ่งเป็นข้าวสายพันธุ์ที่เหมาะกับผู้เป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากมีน้ำตาลต่ำ ทั้งนี้ ผ้าที่ใช้ทำถุงใส่ข้าวนายกฯ ได้รับจากชาวบ้านตอนลงพื้นที่ โดยให้กลุ่มแม่บ้านทหารเป็นผู้ออกแบบตัดเย็บ
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวกับผู้นำเหล่าทัพว่า ดีใจที่ได้มาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะปกติเจอแต่ ผบ.เหล่าทัพ แต่วันนี้ได้เจอครบทุกคนพวกเราทำงานกันมาอย่างเต็มที่เพื่อชาติบ้านเมือง และขอให้ทำงานกันต่อไป ในฐานะที่เราดูแลความมั่นคง จึงต้องทำให้ประเทศสงบเรียบร้อย เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง
และขอให้ช่วยกันทำงานเช่นนี้ตลอดไป
ด้าน พล.อ.ประวิตรกล่าวอวยพรว่า ขอให้นายกฯ ทำงานให้เต็มที่ มีสุขภาพแข็งแรง เป็นหลักชัยให้กับประเทศชาติ ทั้งนี้ ตนไม่ได้มีของขวัญพิเศษอะไรให้กับนายกฯ และไม่ห่วง พล.อ.ประยุทธ์ เพราะท่านทำงานได้เต็มที่อยู่แล้ว ซึ่งตนพร้อมเป็นกองหนุนและกำลังใจให้กับนายกฯ ในการที่จะทำงานต่อไปเพื่อประเทศชาติ
วันเดียวกัน นางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเรียกร้องให้เร่งดำเนินการตามกฎหมายกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีครอบครองนาฬิกาหรูมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท โดยมีการชูป้ายข้อความ เพื่อสะท้อนต่อ ป.ป.ช. อาทิ “ความล่าช้าคือความอยุติธรรม”, “ปปช. ต้องเที่ยงธรรม”, “ประชาชนรอคำตอบผงซักฟอกหรือตาชั่ง” มีนายสุทธิ บุญมี ผอ.สำนักการข่าวและกิจการพิเศษ ป.ป.ช. เป็นผู้แทนรับหนังสือ
นางทิชากล่าวว่า จากกรณีนาฬิกาหรู 25 เรือน มูลค่ามากกว่า 30 ล้านบาท ที่รองนายกฯ ประวิตรไม่แจ้ง ป.ป.ช.ตามกฎหมายในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยอ้างว่าเป็นนาฬิกาที่ยืมเพื่อน ต่อมาเลขาธิการ ป.ป.ช.ได้ช่วยอธิบายว่า ถ้าทรัพย์นั้นเป็นของเพื่อน ไม่ต้องแจ้ง ป.ป.ช. จากนั้น 31 มกราคมที่ผ่านมา รองนายกฯ ประวิตรประกาศผ่านสื่อว่าจะลาออกถ้าประชาชนไม่ต้องการ หลังจากนั้นไม่กี่นาที ประชาชนได้แสดงความไม่ต้องการ พล.อ.ประวิตร ผ่านทาง change.org ถึง 80,018 รายชื่อ ภายใน 16 วัน แต่จนถึงตอนนี้ รองนายกฯ ประวิตรก็ไม่ลาออกตามที่ลั่นวาจา และหลังจากรองนายกฯ ประวิตรส่งคำชี้แจงมายังป.ป.ช.แล้ว ในเวลา 16.30 น. ของวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการขอเลื่อนส่งคำชี้แจงต่อ ป.ป.ช. เป็นครั้งที่ 4 ก็ยังไม่ปรากฏความชัดเจนว่า ป.ป.ช.จะเชิญ พล.อ.ประวิตรมาชี้แจงด้วยตนเองหรือไม่ หรือจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ในขณะที่สังคมเคลือบแคลงสงสัยการทำงานของ ป.ป.ช. ในกรณีนี้เป็นอย่างมาก
"ในฐานะผู้รวบรวมรายชื่อซึ่งขณะนี้มียอดเข้าชื่ออยู่ที่ 81,148 คน ให้ พล.อ.ประวิตรลาออก จึงอยากทวงถาม ป.ป.ช.ว่า เหตุใดไม่มีการชี้แจงหรือยังไม่ยอมแถลงใดๆ ให้ประชาชนรับทราบ นาทีนี้ทุกคนอยากรู้ว่ารองนายกฯ ประวิตรชี้แจงที่มาที่ไปของนาฬิกาหรูกว่า 25เรือน มูลค่ากว่า 30 ล้าน ต่อ ป.ป.ช.ว่าอย่างไร" นางทิชากล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |