หลายคน "ตัว" กลับ.........
แต่ใจยัง "เตลิดปีใหม่" ฉะนั้น มาสะสมข้อมูล "สงครามใหญ่" กันต่อดีกว่า
ปีที่แล้ว ลอกที่คุณ Kittitouch Chaiprasith เขียน fb เกี่ยวกับรากเหง้า "ยิว-คริสต์-อิสลาม" ตอนแรกไปแล้ว คือ
"AIPAC พันธสัญญาอเมริกา-อิสราเอล ที่ประธานาธิบดีและทีมงานต้องทำตาม"
วันนี้ ต่อตอนที่ ๒ "ตอนจบ"..........
"Semitic พงศ์พันธุ์แห่งตะวันออกกลางกับการบิดเบือนความหมายและนำมาใช้เพื่อปิดปากผู้ต่อต้านการละเมิดความเป็นมนุษย์ของชาวปาเลสไตน์ โดย Zionist" ดังนี้
-----------------------------
-Kittitouch Chaiprasith
1.คำแถลงการณ์ Balfour สัญญาระหว่างเจ้าอาณานิคมอังกฤษกับนายทุนยิวแห่งตระกูล Rothschild
-ปัญหาขัดแย้งในตะวันออกกลาง เริ่มต้นจากอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมเข้าไปยึดครองประเทศในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914)
นอกจากขูดรีดภาษีจากตะวันออกกลาง และเข้าไปยึดครองสัมปทานน้ำมันในภูมิภาค
-มรดกบาป ที่อังกฤษทำไว้ครั้งใหญ่ คือ
ประกาศคำแถลงการณ์ Balfour (1917) ซึ่งนาย Arthur Balfour รมต.ต่างประเทศอังกฤษ เวลานั้น ส่งถึงผู้นำชุมชน
คือท่านลอร์ดแห่งตระกูล Rothschild ถึงสัญญาที่จะตั้ง "รัฐอิสราเอล"
โดยอนุญาตให้ชาวยิวและยุโรปที่สืบเชื้อสายจากชาวยิว สามารถไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนอาณานิคม
(หมายเหตุ: ตระกูล Rothschild เป็นตระกูลนายธนาคารใหญ่ของยุโรปที่ทรงอิทธิพลมาก คุมระบบการเงินในทวีป โดยมีสาขาตระกูลในอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย และ อิตาลี)
-ในแถลงการณ์ ใช้คำว่า #Zionist
หมายถึงชาวยิวหรือผู้มีสายตระกูลเป็นยิว ที่เชื่อว่าการกลับไปตั้งถิ่นฐานและสร้างรัฐในตะวันออกกลาง ณ เมืองเยรูซาเลม
คือ "พันธกิจ" ที่พวกเขาต้องกระทำ
เนื่องจากเป็นดินแดนที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้พวกเขาไว้ครอบครอง (ตามคัมภีร์ Torah หรือพระธรรมเก่าของคริสต์และบทแรกๆ ของอัลกุรอาน)
2.Semitic พงศ์พันธุ์ในตะวันออกกลาง
ในเวลานั้น ดินแดนปาเลสไตน์มีผู้อาศัยอยู่ และผู้อาศัยอยู่นั้น ไม่ได้เป็นคนต่างถิ่นที่เพิ่งอพยพมาประการใด
-เดิมในภูมิภาคตะวันออกกลางนั้น มีผู้อยู่อาศัยหลากหลายพงศ์พันธุ์ ในทางมนุษยวิทยาเรียกคนเหล่านี้ว่า "ชาว Semitic"
หมายถึงกลุ่มคนที่สืบเชื้อสายอยู่ในดินแดนนั้นตั้งแต่สมัยเมโซโปเตเมีย ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลเนียน อัสซีเรียน อานาอัน ฟีนิเชียน อิสราเอล ฯ
-คนทั้งหมดในกลุ่มชาติพันธุ์นี้เกี่ยวดองกัน ทั้งเรื่องของเชื้อสาย ภาษา ตลอดจนศาสนา ชาติพันธุ์ เหล่านี้เรียกจิตวิญญาณสูงสุดหรือพระผู้เป็นเจ้าว่า "El" (เอล)
คำว่า El ปรากฏในหลายเชื้อสายแถบนี้ คำว่า El นี้เป็นที่มาของ Elohim คำเรียกพระผู้เป็นเจ้าในคัมภีร์ ที่ "โมเสส" เขียนไปถึง Allah ในภาษาอาหรับ
ซึ่งเป็นการผสมคำระหว่าง al-ilah (al = the)
ไม่ว่า Elohim Eloha Elaha Alaha Allah ฯ ล้วนมีรากศัพท์มาจาก El ที่นำไปผสมคำแปลงรูปเป็น Musculine / Feminine form รวมถึงแปลงเอกพจน์เป็นพหูพจน์สลับไปมา
-พงศ์พันธุ์ Semitic อาศัยกระจายอยู่แถบตะวันออกกลางไปจนถึงแอฟริกาตอนบนแถบลิเบียและแอลจีเรีย (ในปัจจุบัน)
ซึ่งนั้นคือ สาเหตุที่ทำไมคน Algeria อย่างซีดาน หรือคนลิเบีย อย่างกัดดาฟี ไม่ได้เป็นคนผิวดำ
แต่เป็นการผสมระหว่างพวก Semitic กับคนผิวดำที่อยู่ถัดลงไปด้านล่างของทวีป
3.ประวัติศาสตร์ดินแดนตะวันออกกลาง
-ดินแดนแห่งนี้ มีผู้ครอบครองสลับไปมา เช่นเดียวกับดินแดนอื่นๆ ทั่วโลก อาณาจักรไหนแข็งแกร่ง ก็ขึ้นมาปกครองแต่ละช่วงเวลา
มีช่วงหนึ่งที่เผ่าพันธุ์ย่อยที่เรียกว่า "อิสราเอล" ซึ่งสืบสายจากลูกของ "อับราฮัม" กับ "นางซาราย์" ได้ปกครองดินแดนนี้ แต่ก็ไม่ได้ครอบครองไว้ตลอดเวลา
บางช่วงอาณาจักรก็ล่ม เพราะมีเครือญาติที่เป็นผู้ปกครองแข็งกว่ารบชนะและกวาดต้อนผู้คนไปเป็นแรงงานก็มี
-พวกอิสราเอลอยู่เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ปกครองได้สักสองร้อยกว่าปี อาณาจักรก็ล่มสลาย
ดินแดนถูกปกครองโดยอัสซีเรีย บาบิโลน เปอร์เซีย มาเซโดเนีย (ไล่ไปตามลำดับ) อยู่ถึง 600 ปี
หลังจากนั้น "อาณาจักรอิสราเอล" ก็ได้กำเนิดใหม่อีกครั้ง
-โดยตั้งขึ้นใหม่ราวร้อยกว่าปี "ก่อนคริสตกาล" อยู่ได้ราวๆ ร้อยปี ก็โดนโรมันยึดและปกครองยาวถึง 400 กว่าปี ก่อนที่อาณาจักรโรมันตะวันตกล่ม (แยกเป็นตะวันออก-ตะวันตก)
อาณาจักร "โรมันตะวันออก" เปลี่ยนชื่อมาเป็น "อาณาจักรไบแซนไทน์" แทนและครอบครองอยู่ราวสามร้อยปี
ก่อนที่กำเนิดอาณาจักรอิสลาม (ซึ่งพัฒนามาจากความเชื่อในท้องถิ่น) และปกครองดินแดนมายาวนานเป็นพันปี จนถึงอาณาจักรออตโตมัน ที่แพ้ให้อังกฤษ และกลายมาเป็นดินแดนภายใต้อาณานิคม
***ก่อนที่อังกฤษจะประกาศให้ชาวยิวที่อาศัยในยุโรปอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐาน โดยเริ่มค่อยๆ ไล่ที่ และยึดครองดินแดนของคนท้องถิ่น
ซึ่งมีทั้งยิว คริสต์ อิสลาม อยู่ร่วมกันมาก่อน ไล่ไปเรื่อยๆ ทำให้เหลือเพียงแค่พื้นที่ของชาวยิวเท่านั้น
ส่วนคนอื่น ก็โดนถีบหัวออกไปอยู่ในพื้นที่รอบข้างเรื่อยๆ
4.การบิดเบือนคำว่า "ปาเลสไตน์" และแบ่งแยกผู้คนออกจากความจริง
-ในอดีตคำว่า "ปาเลสไตน์" ไม่ได้หมายถึงเชื้อชาติหรือพงศ์พันธุ์ที่แยกตัวออกจากยิว
ต้นศัพท์คำว่า "ปาเลสไตน์" พบได้ตั้งแต่ยุคอียิปต์ ก่อนอิสราเอลปกครองดินแดนแห่งนั้นเป็นครั้งแรกเสียอีก...!!!
-และหลังจาก "อาณาจักรอิสราเอล" ล่มไป พวกบาบิโลน อัสซีเรียน กรีก มาซิโดเนียนที่มาปกครอง ก็ล้วนแต่เรียกดินแดนแห่งนี้ว่า "ปาเลสไตน์" (แต่เป็นคำออกเสียงโบราณ)
-เพราะปาเลสไตน์ในที่นี้ หมายถึงดินแดน ดังนั้น ไม่ว่าคนที่มาครอบครองจะเป็นเผ่าใด ก็ถือเป็นพวกอาศัยอยู่ในแถบปาเลสไตน์ (มองจากคนนอกดินแดนเข้ามา) ทั้งสิ้น...
-ก่อนที่ยิวอพยพจากยุโรปจะเข้ามา แถบนี้ก็มีชาวยิวพื้นถิ่นอาศัยอยู่ดั้งเดิมแล้ว ชาวยิวพวกนั้น ถูกเรียกว่า "ยิวปาเลสไตน์"
(Palestinisn Jew) คือคนปาเลสไตน์ที่นับถือ "ศาสนายูดาย" ไม่ต่างจากคนคริสต์ปาเลสไตน์ มุสลิมปาเลสไตน์ ฯลฯ
-แต่เมื่อยิวยุโรปเริ่มอพยพและยึดดินแดน ยิว Zionist พวกนี้ก็เริ่ม "แบ่งแยก" ผู้คนออก
โดยบอกว่าตนเองนั้น "ไม่ใช่ชาวปาเลสไตน์" (ก็แน่นอนละ ในเมื่อพวกตัวเองอพยพมาทีหลัง) โดยไม่สนว่าปาเลสไตน์จะเป็นยิวหรือไม่
โดยแบ่ง "ถ้าคุณเป็นปาเลสไตน์ คุณไม่ใช่ยิว" "ถ้าคุณเป็นยิว คุณก็ไม่ใช่ปาเลสไตน์" ด้วย!!
5.Anti-Semitic กับการสร้างความเชื่อซึ่งสวนทางความจริงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
คำว่า Anti-Semitic มาจากพวกฝรั่งผิวขาว (ในยุโรป) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ขึ้น 20 ที่มีความคิด "เหยียดเผ่าพันธุ์ Semitic"
-โดยมองว่าเป็นพวกด้อยกว่าตนเอง ถึงขั้นพยายามทึกทักว่า ตนเองสืบสายมาจาก "ชาวอารยัน"
ความเป็นจริง ชาวอารยันก็คือ "แขก" นั้นเอง...
-ชาวอารยันอาศัยอยู่ในพื้นที่อิหร่านและกระจายตัวออกไปทางตะวันออก ไปปกครองอินเดีย
ในตะวันตกไปถึงแถบดินแดนกรีกโบราณ ซึ่งทำให้ภาษาและวัฒนธรรมของชาวอารยันถูกเรียกว่า เป็น Indo-European ทำให้ภาษากรีก ละติน และสันสกฤต มีรากคล้ายกัน
-โดยก่อนหน้านี้ ช่วงยุคกลาง พวกฝรั่งพยายามสร้างชุดความเชื่อว่า เผ่าพันธุ์ตนสืบเชื้อสายจาก Japheth ลูกโนอาห์ (อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล/โตราห์/อัลกุรอาน)
-เนื่องจากลูกของโนอาห์มี 3 คน คือ Shem, Japhete, Ham โดยตามคัมภีร์นั้น............
Ham เข้าไปเห็นโนอาห์เมาและนอนเปลือย จึงไปตามพวกพี่สองคนมา
พี่ชายสองคนนั้นก็เดินหันหลัง เพื่อนำผ้าเข้ามาปิดกายให้บิดา และไม่มองบิดาที่กำลังนอนเปลือยอยู่เลย พอโนอาห์ตื่นมาและทราบความจึงชื่นชม
ส่วน Ham นั้น ถูกโนอาห์ด่าและสาปแช่ง
-ในช่วงยุคกลาง พวกฝรั่งในยุโรปที่รับคริสต์ศาสนาจากตะวันออกกลางไป ได้พยายามสร้าง "ชุดความเชื่อ" อันหนึ่ง
ว่าเผ่าพันธุ์ของตนสืบเชื้อสายมาจาก Japhete ซึ่งเป็นลูกหลานโนอาห์
-โดยเชื่อว่าลูกหลานของ Shem นั้น สืบเชื้อสายต่อมาเป็นชาวยิว/อิสราเอล จึงเป็นที่มาที่เรียกคนตะวันออกกลางว่า Semitie/Semitic People
ส่วนพวกที่ "เชื่อว่า" สืบเชื้อสายจาก Japhete นั้น ก็เรียกว่า Japhetite หรือ Japhetic
ส่วนพวกสืบสายทาง Ham ก็ใช้ชื่อว่า Hamite หรือ Hamitic People
-พวกฝรั่งคริสเตียนในยุโรปพยายามที่จะใช้ชุดความเชื่อนี้ โยงว่าตนเกี่ยวข้องกับสายตระกูลโนอาห์ ซึ่งพระเจ้าโปรดปราน
และเชื่อมโยงอิสราเอล ที่ประกาศว่าตนเป็น "ชนชาติที่ได้รับการเลือกสรร" มาตลอด
-ขณะเดียวกัน ก็พยายามบอกว่าคนผิวดำในทวีปแอฟริกานั้นเป็นพวกสาย Hamitite ซึ่งถูกสาปแช่ง
ชุดความเชื่อนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดครอง รวมถึงจับคนผิวดำมาเป็นทาสแรงงาน สร้างความร่ำรวยให้ชาวยุโรป
หมายเหตุ: หลังๆ พวก Christian Zionist ในอเมริกา เริ่มทึกทักว่าฝรั่งทั้งหมดทั้งในอเมริกาและยุโรปที่เป็นชาวคริสต์และยิวนั้น เป็นลูกหลานของ Shem
ส่วนคนดำคือ Ham
และพวกคนที่เขาอธิบายไม่ได้เช่นคนเอเชีย ก็ให้ไปอยู่ในหมวดของพวก Japhetite แทน
-พอถึงยุคที่ศาสนาเริ่มเสื่อม ฝรั่งยุโรปพวกนี้ก็เริ่มสร้างชุดความเชื่อว่าตัวเองเป็น "อารยัน" เพื่อทดแทนความเชื่อว่าตนเป็น Japhetite
-ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปแค่ไหน คนที่สร้างความเชื่อเพื่อสร้างความชอบธรรมให้เผ่าพันธุ์ตัวเองสูงส่งและพิเศษกว่าคนอื่น ก็หาลูกเล่นมาใช้ได้ตลอด แค่เปลี่ยนคำพูดที่ใช้ก็เท่านั้นเอง
***นอกจากนี้ ยังมีการนำคำ Anti-Semitic มาใช้ในลักษณะผิดไปจากความหมายเดิม
-ซึ่งควรหมายถึงแนวคิดเหยียดชาติพันธุ์คนตะวันออกกลาง โดยฝรั่งชาวยุโรป
แต่กลายมาเป็นว่า คำนี้หมายถึง "เหยียดยิว" หรือง่ายๆ ก็คือ พวกยิว Zionist พยายามจะบอกว่า ตนเองเท่านั้นที่เป็นชาว Semitic
ส่วนพวก Arab หรือใครก็ตามที่อยู่ในแถบนั้น ไม่ใช่ชาว Semitc
"Semitic" สงวนไว้สำหรับชาวยิวผู้น่าสงสารที่ต้องการดินแดนที่พระเจ้ามอบไว้ให้เมื่อ 3,000 กว่าปีที่แล้วกลับคืนมา
ป.ล. คำเหล่านี้ นาง Nikki Harley ผู้แทนอเมริกาประจำสหประชาชาติเพิ่งพูดไปเมื่อต้นเดือนนี้เองนะครับ
***ทั้งหมดนี้คือที่มาของ Zionism
และคือเหตุผลที่ทำไมเราจึงเห็นชาวยิวที่นับถือศาสนายูดายแบบดั้งเดิม ถึงตั้งองค์กร NKUSA ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของศาสนิกชนยูดาย (Judaism=ศาสนายูดาย) ที่ออกมาต่อต้านพวก Zionism (ลัทธิไซออน)
*** เพราะพวกเขามองเห็นว่าพวก Zionist เป็นพวกงมงาย ตีความศาสนาเพื่อตนเอง ทั้งที่หัวใจคำสอนในศาสนานั้น คือการละเว้นจากบาปและดำเนินชีวิตเที่ยงธรรม ด้วยการรักเพื่อนบ้านของตน ไม่กระทำในสิ่งที่ตนไม่อยากให้ผู้อื่นกระทำต่อตน
***และเยรูซาเลมแห่งใหม่ตามคำพยากรณ์เป็นสถานที่แห่งจิตวิญญาณ ที่ผู้ประพฤติตนได้ถูกต้องตามครรลองแห่งความชอบธรรมนั้น จะได้กลับคืนไปสู่ดินแดนพันธสัญญาแห่งนั้น
แต่ไม่ใช่การแอบอ้างถึงเยรูซาเลมทางโลกที่เป็นอาณาจักรทางโลกที่เสื่อมสลายไปแล้ว และนำไปสู่การทำบาปกับเพื่อนพี่น้องชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ ดังปรากฏทุกวันนี้
-Kittitouch Chaiprasith
เพื่อความสมบูรณ์ คลิก fb คุณ Kittitouch Chaiprasith ดูแผนที่ประกอบ-เปลว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |