21 ม.ค.63- เพจข่าว เสริมสุข กษิติประดิษฐ์ - Sermsuk Kasitipradit ของผู้สื่อข่าวอาวุโส โพสต์ข้อความระบุว่าช่วงสายวันนี้ชัดเจนคำวินิจฉัยของศาลรธน.ต่อคำร้องของดร.ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษากฎหมายผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งยื่นคำร้องให้ศาลรธน.เดือนพ.ค. 62 ให้พิจารณายุบพรรคอนค.ตามพรป.พรรคการเมือง ม.92(2) มีโทษยุบพรรค หากพบว่า"มีการกระทำอันอาจเป็นปฎิปักษ์ต่อการปกครองฯ"
นักวิแคะสถานการณ์จากทั่วราชอาณาจักร นักนิติศาสตร์และนักมโนหลายสนข. มีมุมมองที่หลากหลายในเรื่องดังกล่าว ส่วนหนึ่งเชื่อว่าคำร้องในเรื่องนี้โทษไม่ถึงยุบพรรค และเห็นว่ากกต.เท่านั้นที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคตามพรป.พรรคการเมือง
ด้านผู้ร้องเห็นว่าการที่ศาลรธน. ซึ่งรับพิจารณาคำร้องเมื่อวันที่ 19 ก.ค.62 ด้วยมติ 5-4 เป็นการยอมรับผู้ร้องมีสิทธิ์ยื่นคำร้องให้พิจารณายุบพรรคจากการกระทำอันอาจเป็นปฎิปักษ์ต่อการปกครอง
"หากศาลรธน.เห็นว่าเราไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องยุบพรรค ก็น่าจะไม่รับคำร้องยุบพรรคด้วยมติเสียงข้างมาก" ดร.ณฐพร ให้ความมั่นใจในคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรธน.ในช่วงสายวันนี้น่าจะไปในทิศทางที่ได้ร้องขอให้พิจารณายุบพรรค และถอดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 15 คน
ดร.ณฐพร ยังเชื่อว่าพฤติกรรมการกระทำและการแสดงออกของแกนนำพรรคอนค. ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มีลักษณะที่อาจเป็นปฎิปักษ์ต่อการปกครอง มากกว่าการกระทำของพรรคไทยรักษาชาติ ที่เสนอบุคคลภายนอกเป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงต้นเดือนกพ.2562 พร้อมกล่าวอ้างถึงคำวินิจฉัยของศาลรธน.ในเรื่องดังกล่าว ที่เห็นว่าต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม หลังพบการกระทำที่"อาจเป็นปฎิปักษ์ต่อการปกครอง"เพื่อไม่ให้เชื้อไฟปะทุคุโชนลามไหม้เป็นไฟกองใหญ่ เป็นมหันตที่ภัยร้ายแรง
"ถึงแม้กฎหมายจะไม่ได้บัญญัตินิยามศัพท์คำว่าล้มล้าง และ ปฏิปักษ์ ไว้แต่ทั้ง ๒ คำนั้นก็เป็นคำในภาษาไทยธรรมดาที่มีความหมายตามที่ใช้และรู้กันอยู่ทั่วไป ซึ่งศาลย่อมรู้ได้เองว่าล้มล้างหมายถึง การกระทำที่มีเจตนาเพื่อทำลาย หรือล้างผลาญให้สูญสิ้นสลายหมดไป ไม่ให้ธำรงอยู่หรือมีอยู่ต่อไป ส่วนคำว่า ปฏิปักษ์ นั้นไม่จำเป็นต้องรุนแรงถึงขนาดมีเจตนาจะล้มล้างทำลายให้สิ้นไปทั้งยังไม่จำเป็นต้องถึงขนาดตั้งตนเป็นศัตรูหรือเป็นฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น เพียงแค่เป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการขัดขวางหรือสกัดกั้นมิให้เจริญก้าวหน้า หรือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลายจนเกิดความชำรุดทรุดโทรมเสื่อมทรามหรืออ่อนแอลงก็เข้าลักษณะของการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ได้แล้ว
"สำหรับประเด็นเรื่องเจตนานั้น เมื่อมมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง (๒) บัญญัติชัดเจน เพียงแค่อาจเป็นปฏิปักษ์ก็ต้องห้ามแล้ว หาจำต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือต้องรอให้ผลเสียหายร้ายแรงเกิดขึ้นจริงเสียก่อนไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นมาตรการป้องกันความเสียหายร้ายแรงที่อาจจะเกิดแก่สถาบันหลักของประเทศไว้ก่อน อันเป็นรัฐประศาสโนบายที่จำเป็นเพื่อดับไฟใหญ่ไว้แต่ต้นลม มิให้ไฟกองเล็กกระพือโหมไหม้ลุกลามขยายไปจนเป็นมหันตภัยที่มิอาจตานทานได้ในวาระต่อไป
"อนึ่งบทบัญญัติในมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง (๒) ที่ว่าอาจเป็นปฏิปักษ์นั้น ในทางกฎหมายเป็นเงื่อนไขทางภววิสัย กล่าวคือ ไม่ขึ้นกับเจตนาหรือความรู้สึกส่วนตัวของผู้กระทำว่าจะเกิดผลเป็นปฏิปักษ์จริงหรือไม่ หากแต่ต้องดูตามพฤติการณ์และการกระทำนั้นๆ ว่าในความคิดของวิญญูชนหรือคนทั่วๆ ไปจะเห็นว่าการกระทำดังกล่าว อาจส่งผลให้เกิดการเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ เทียบได้กับกรณีหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๒๖ ที่ว่ำ "น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง" นั้น ศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานมั่นคงไว้ว่า การพิจารณาว่าถ้อยคำหรือข้อความใดจะเป็นการใส่ความผู้อื่น จนทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังหรือไม่ ต้องพิจารณาจากการรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกและความเข้าใจในถ้อยคำหรือข้อความนั้นของวิญญูชนโดยทั่วไปเป็นเกณฑ์"
คำวินิจฉัยของศาลรธน.กรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ
ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ไม่มีฟื้น ด้วยประการละฉะนี้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |