ซาปายังมาไม่ถึง


เพิ่มเพื่อน    

 

  ปกติแล้วผมจะหลีกเลี่ยงการออกเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งในเวลาเช้าตรู่ ด้วยไม่อยากเผชิญปัญหาใหญ่ 2 ประการ คือการนอนไม่พออันเสี่ยงที่จะนำไปสู่การป่วยไข้ได้ง่ายขึ้น และเวลาที่เช้าเกินไประบบขับถ่ายยังไม่พร้อมทำงาน แต่มันจะไปทำงานในขณะกำลังเดินทาง ทว่าสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมากกว่าคือ การไปถึงปลายทางในเวลาค่ำมืด โดยที่เป็นการไปเยือนเมืองนั้นเป็นครั้งแรก ในการเดินทางจากเดียนเบียนฟูไปยังซาปาเมื่อปลายตุลาคมที่ผ่านมา ผมจึงเลือกรถเที่ยวเช้าเพื่อจะไปถึงในตอนบ่าย


บนเส้นทางเดียนเบียนฟู-ซาปา ชาวเวียดนามทุกบ้านร่วมใจกันประดับธงชาติ

                นาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในเวลา 05.18 น. ท้องฟ้ายังมืดสนิท เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วลงไปชั้นล่างก็ยังไม่สว่าง อากาศเย็นจนต้องใส่แจ็กเกต เล-สะใภ้คนขยันประจำโรงแรมตื่นขึ้นมาตั้งแผงขายข้าวเหนียวนึ่งบนบาทวิถีได้สักพักแล้ว มีโต๊ะพลาสติก 2 ตัว และเก้าอี้ 6 ตัว ผมสั่ง 1 ชุดเล็กสำหรับไว้กินกลางทาง เธอห่อข้าวเหนียวในใบตอง มีเครื่องเคียงโปะลงไป ได้แก่ ถั่วคั่ว เนื้อบด กระเทียมและหอมเจียว ราคา 10,000 ดอง เท่ากับ 15 บาท

                เลมีลูกค้าประจำทั้งที่แวะนั่งกินหน้าโรงแรมและซื้อใส่ห่อ เด็กชายในชุดนักเรียนปั่นจักรยานมาซื้อไปกินที่โรงเรียน เขาดูกวนๆ หยอกล้อกับผมแบบไม่มีความเขินอายของเด็กๆ คู่รักชาวไทยที่เดินทางมาเดียนเบียนฟูด้วยมินิบัสคันเดียวกับผมลงมาจากห้องพักพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า เราจึงได้มีโอกาสกล่าวคำลาและคำอวยพร รถโดยสารไปหลวงพระบางของพวกเขาออกในเวลา 8 โมงครึ่ง และสถานีขนส่งก็อยู่ห่างไปประมาณ 200 เมตรเท่านั้น แต่ทั้งคู่อยากใช้เวลาเช้าสุดท้ายในเดียนเบียนฟูให้คุ้มค่าด้วยการเดินเล่น หาของกินและชมเมือง


ความบากบั่นของนักปั่นชาวไทย อีกไม่กี่กิโลเมตรก็ถึงซาปาแล้ว

                เลยเวลา 6 โมงครึ่งไม่เท่าไหร่ รถตู้เข้ามาจอดริมถนนตรงข้ามโรงแรม ผมนึกว่าจะเป็นมินิบัสคันใหญ่กว่านี้ เลออกคำสั่งให้ขึ้นรถ ฝ่ายคนขับก็ลงมากวักมือเรียก ไม่ทันได้ร่ำลาเลเป็นเรื่องเป็นราว ผมรีบวิ่งข้ามถนนไปขึ้นรถ ประตูยังไม่ปิดด้วยซ้ำตอนที่ล้อรถหมุนออกไป บนรถมีผู้โดยสารแค่ 3 คน

                เมื่อพ้นตัวเมืองเดียนเบียนฟูมาหน่อยก็เห็นบ้านเรือนของชาวไทดำค่อนข้างหน้าตา ล้วนเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง มีบันไดขึ้นบ้านสองฝั่งซ้าย-ขวา สำหรับแบ่งชาย-หญิง เข้าใจว่าฝ่ายหญิงเดินขึ้นทางซ้าย ส่วนชายเดินขึ้นทางขวา

                ก่อนฝรั่งเศสจะเข้ามายึดครอง บริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคว้นสิบสองจุไท เจ้าอาณานิคมผนวกเข้าเป็นฝรั่งเศสอินโดจีน เมื่อกองทัพเวียดมินห์ขับไล่ฝรั่งเศสออกไป พื้นที่บริเวณนี้ก็กลายเป็นเวียดนาม ชนชาติไทอพยพไปยังลาวและไทยหลายระลอก แต่ปัจจุบันก็ยังอาศัยในจังหวัดเดียนเบียนและจังหวัดเซินลาอยู่ไม่น้อย และยังคงรักษาวัฒนธรรมไททรงดำดั้งเดิมหลายอย่างเอาไว้

                เราออกจากเดียนเบียนฟูมาได้ 2 ชั่วโมง รถตู้แวะจอดให้กินมื้อเช้าในสถานที่ลักษณะกึ่งบ้านกึ่งร้านอาหาร ผมกะจะไม่กิน เพราะมีข้าวเหนียวทรงเครื่องอยู่แล้ว แต่พอโชเฟอร์ชักชวนก็ไม่อยากเสียมารยาท สั่งเฝอไก่มานั่งกินด้วย มีผู้โดยสารหนุ่มร่วมโต๊ะอีกคน กินเสร็จโชเฟอร์ออกไปนั่งกินน้ำชาหน้าร้าน ผมจ่ายเงินค่าเฝอ 40,000 ดองแล้วตามออกไป เขารินน้ำชาจากกาใส่ถ้วยยื่นให้ พูดอะไรบางอย่างออกมา ผมเดาตอบไปว่า “ไทยแลนด์” เขาก็ “อือ” พยักหน้า พูดอะไรบางอย่างออกมาอีกแล้วชวนขึ้นรถ 


รวมมิตรอาหารปิ้งย่างบริเวณจุดแวะพักใกล้น้ำตกทังบัค

                รถตู้วิ่งผ่านเมืองไลที่ยังอยู่ในจังหวัดเดียนเบียน สู่เมืองไลโจว จังหวัดไลโจว ไต่เขาคดเคี้ยวขึ้นไปเรื่อยๆ สู่จังหวัดหล่าวกาย เวลาบ่ายโมงกว่าๆ ตอนที่เหลือระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตรก่อนถึงตัวเมืองซาปา คนขับก็แวะอีกครั้งเพื่อกินมื้อเที่ยง บริเวณนี้เป็นจุดแวะพักรถบนไหล่เขาที่สำคัญ นอกจากแถวของร่มผ้าใบและเพิงหลังคาสังกะสีเป็นแนวยาวสำหรับขายของกินของใช้แล้ว มองขึ้นไปบนเขาที่ตั้งฉากกับถนนเห็นน้ำตกทังบัค หรือ “น้ำตกสีเงิน” ไหลลงจากยอดผาแล้วหลุบหายเข้าไปในความเขียวของต้นไม้ช่วงกลางเขา นักท่องเที่ยวนิยมขี่มอเตอร์ไซค์จากซาปามาชมความงาม ทางขึ้นน้ำตกอยู่ไม่ห่างออกไป 

                ร้านอาหารที่โชเฟอร์ของเราจอดด้านหน้ามีโต๊ะเตี้ยๆ ตั้งอยู่ในร้านจำนวนหนึ่ง นอกร้านมีคนปิ้งมัน ข้าวหลาม ข้าวโพด ไข่ และเนื้อสัตว์เสียบไม้ ผมก็จะไม่กินเหมือนเดิม ตอนเดินออกจากห้องน้ำของร้านโชเฟอร์ที่นั่งอยู่หน้าเตาปิ้งก็ชวนอีก แกแบ่งข้าวหลามให้ เป็นข้าวหลามท่อนเล็กเรียว กินโดยจิ้มเกลือและถั่วคั่วบด รสชาติพอใช้ได้ โชเฟอร์กินเสร็จลุกไปโดยไม่บอกกล่าว ทิ้งผมไว้กับแม่ค้า ด้วยความเกรงใจจึงซื้อมันปิ้งมา 1 หัว ราคา 10,000 ดอง

                รถตู้แวะส่งผมที่หน้าตลาดซาปาเกือบๆ บ่าย 3 โมง แล้ววิ่งต่อไปหล่าวกายใกล้ชายแดนจีน ผมตั้งหลักจับทิศทางได้แล้วเดินไปยังที่พักชื่อ Sapa New Orient Hotel บนถนน Thach Son ห่างออกไปราว 300 เมตร จองทางอินเทอร์เน็ตไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนนอน ชั้นล่างของโรงแรมเป็นร้านขายเสื้อผ้า เน้นเสื้อหนาวและแจ็กเกตเดินป่า เคาน์เตอร์เช็กอินอยู่ด้านใน ผู้หญิง 2 คนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษดีมาก คาดว่าเป็นเจ้าของ อีกคนพูดไม่ได้เลย ทราบทีหลังว่าเป็นลูกจ้าง

                ผมงีบไป 2 ชั่วโมง ตื่นมาหาร้านกาแฟ ได้ร้านชื่อ Kafa Café ใกล้ๆ ที่พัก ดื่มลาเต้ร้อนแล้วเดินไปทะเลสาบซาปา ทะเลสาบขนาดเล็กตั้งอยู่กลางเมือง มีเกาะจิ๋ว 1 เกาะ อาคารที่อยู่รอบทะเลสาบและภูเขาทางด้านทิศใต้ทำเงาสะท้อนเป็นรูปสมมาตรอยู่ในน้ำ เด็กนักเรียนในเสื้อแจ็กเกตเขียว-ขาวเดินเล่นกันอยู่ คนวิ่งออกกำลังกายรอบทะเลสาบก็พอมีให้เห็น


ทะเลสาบซาปายามเย็น

                ซาปาเป็นเมืองที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 1,500 เมตร ยอดเขาฟานซีปังของภูเขาฮว่างเลียนซอนสูงถึง 3,143 เมตร สูงสุดในภูมิภาคอินโดจีน ภูเขาลูกนี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยที่อยู่ปลายสุดฝั่งตะวันออก กลุ่มชาติพันธุ์สำคัญ ได้แก่ ม้ง, เย้า, ไส, ละหู่ รวมถึงไทอยู่อาศัยมานานแล้ว ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ามาในซาปาตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จัดตั้งกองทหารรักษาการณ์เต็มรูปแบบ มีคณะมิชชันนารีสร้างสถานพักฟื้นผู้ป่วยทหาร และต่อมาก็ได้พัฒนาเป็นเมืองตากอากาศ เนื่องจากอากาศที่ซาปาเย็นสบายเกือบตลอดทั้งปี

                ระหว่างสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 อาคารสไตล์โคโลเนียลถูกทำลายจากฝ่ายเวียดมินห์ในช่วงต้นสงคราม และในตอนปลายสงครามถูกเครื่องบินฝรั่งเศสทิ้งระเบิดเสียหายเกือบทั้งหมด จากที่มีอยู่ประมาณ 200 หลัง ผู้คนต้องอพยพหลบหนี กระทั่งในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1960’s รัฐบาลคอมมิวนิสต์มีแผนตั้งเป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ จึงเริ่มมีชาวเวียดย้ายเข้ามาอยู่อาศัย และต่อมาในยุค 1990’s ก็ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว คราวนี้ผู้มาเยือนมาจากทั่วมุมโลก

                จากปลายทะเลสาบด้านตะวันตก ผมเดินเข้าถนน Xuan Vien ไปเชื่อมกับถนน Thach Son อีกครั้ง ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว แสงไฟจากร้านอาหาร คาเฟ่ และโรงแรมที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบและตกแต่งสวยงามแข่งกันขับสีสันยามต้นราตรีของซาปาออกมา ผมเดินจนถึงอีกจุดที่เป็นแลนด์มาร์กของเมือง ด้านซ้ายคือโบสถ์นอเทอดาม ขนาดไม่ใหญ่นัก ขวามือเป็นสนามคล้ายชามอ่างขนาดประมาณ 2 ใน 3 ของสนามฟุตบอล เป็นสนามพื้นแข็ง ไม่ทราบวัสดุที่ใช้ มีขั้นบันไดเดินลงไป ที่ปลายของสนามทางด้านไกลมีเวทีถาวรรูปวงพระจันทร์ สร้างไว้สำหรับทำการแสดง ในสนามมีเยาวชนหลายกลุ่มกำลังแบ่งพื้นที่เตะฟุตบอล


มองจากสวนริมทะเลสาบซาปา

                บริเวณนี้ในอดีตคือตลาดนัดความรัก หนุ่มสาวชาวเย้าลงจากภูเขามาหาคู่ เล่าว่าฝ่ายหญิงจะร้องเพลงให้หนุ่มๆ ฟังแล้วหลบหายไปในความมืด หนุ่มใดหาเธอพบและต้องมนต์รักก็จะหายเข้าป่าไปด้วยกันเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เมื่อกลับออกมาก็วิวาห์กัน

                ปัจจุบันเมืองได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ตลาดนัดความรักแปรสภาพเป็นตลาดขายสินค้าของกลุ่มชาติพันธุ์ แม้ว่ายังคงสามารถพบเห็นหญิงสาวร้องเพลงหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในความมืด แต่พวกเธอไม่ได้หาคู่เหมือนเมื่อก่อน พวกเธอหานักท่องเที่ยวใจดีที่จะยื่นเงินให้

                ผมเดินลงไปในสนามตัดผ่านไปยังอีกฝั่ง เข้าสู่อาคารสถานี Fansipan Legend ของ Sun Group กลุ่มบริษัทผู้พัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ขนาดยักษ์ของเวียดนาม สถานีรถรางนี้จะนำผู้โดยสารไปขึ้นรถกระเช้าสู่ยอดเขาฟานซีปังวันนี้ได้ปิดบริการลงแล้ว แต่รู้สึกว่ายังสามารถซื้อตั๋วสำหรับวันถัดไปได้ ราคาสำหรับขึ้นสู่สถานียอดเขาฟานซีปังอยู่ที่ 700,000 ดอง หรือเกือบๆ 1,000 บาท ผมยังไม่ตัดสินใจซื้อ ความตั้งใจคือจะมาแอบใช้ห้องน้ำ จากนั้นเดินออกมาผ่านศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว ไม่ไกลกันเห็นกลุ่มแม่ค้านั่งขายสตรอว์เบอร์รีอยู่ติดๆ กันหลายเจ้า มีเจ้าเดียวที่เขียนป้ายระบุราคา ผมก็เลยตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น กล่องละ 50,000 ดอง หรือประมาณ 70 บาท

                ระหว่างทางเดินกลับได้แวะกินมื้อค่ำเป็นข้าวราดแกงอีกตามเคย กับข้าวสาม-สี่อย่าง พร้อมเบียร์ Saigon กระป๋อง ทั้งหมดราคาไม่ถึง 100 บาท เดินเลยที่พักไปแถวๆ หน้าอาคารตลาดซาปา เรียก Cho Sapa ข้างๆ มีตลาดกลางคืน เรียก Cho Den Sapa ฝั่งตรงข้ามตลาดมีกลุ่มฝรั่งกำลังรอรถบัสออกเดินทางกลับฮานอย ผมเดินเข้าไปในออฟฟิศขายตั๋ว เด็กหญิงอายุ 6 หรือ 7 ขวบเท่านั้น แต่พูดภาษาอังกฤษดีมาก ให้คำตอบผมเรื่องจะไปคุนหมิงว่าไม่มีรถออกจากซาปาไปคุนหมิงโดยตรง ส่วนรถไปหล่าวกายต้องไปขึ้นที่หน้าศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว


สามแม่ลูกกับความหวังเล็กๆ ในการขายของที่ระลึก

                เช้าวันต่อมาผมตัดสินใจจะขึ้นยอดเขาฟานซีปัง ปรากฏว่าพอเดินออกจากที่พักเจอหมอกลงหนามาก มองเห็นแค่ไม่กี่สิบเมตรเบื้องหน้า จึงเดินไปหามื้อเช้ากินที่ตลาดเช้าซาปา ตั้งอยู่ด้านหลังของอาคารตลาดซาปา (มีร้านขายเสื้อผ้าและของที่ระลึก) แม่ค้าพูดภาษาอังกฤษเชิญชวนให้เข้าร้าน ผมสั่งโจ๊กไก่ เสิร์ฟมาในลักษณะกึ่งโจ๊กกึ่งข้าวต้ม รสชาติพอถูไถ 

                ถัดจากตลาดเช้าคือสถานีขนส่งซาปา ผมเข้าไปถามทางเลือกสำหรับเดินทางไปหล่าวกายก็ได้รับคำตอบเหมือนที่เด็กหญิงบอกเมื่อคืน คือต้องไปขึ้นที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว โดยระหว่างเวลา 11.00-13.00 น. จะไม่มีรถให้บริการ เข้าใจว่าคงจะพักเที่ยงต่อด้วยเซียสต้า-นอนกลางวันเหมือนเช่นที่ประสบในเดียนเบียนฟู จากนั้นเดินไปยังย่านที่เป็นตลาดกลางคืน มีร้านกาแฟในตัวตึกแถว กาแฟฟินหรือกาแฟดริปแบบเวียดนามแก้วละ 40,000 ดอง ถือว่าแพงกว่าปกติ และสำหรับสินค้าอื่นๆ ก็รู้สึกว่าแพงกว่าย่านตึกสวยงามแถวทะเลสาบไปจนถึงตลาดนัดความรัก เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจไม่น้อย นอกจากนี้ตอนซื้อน้ำดื่มจากร้านขายของชำ แม่ค้าขายขวด (ใหญ่) ละ 15,000 ดอง ขณะที่ในซูเปอร์มาร์เก็ตขายเพียง 7,000 ดอง นักท่องเที่ยวที่ต้องการสนับสนุนคนท้องถิ่นตัวเล็กๆ ก็คงต้องลังเลกันหลายตลบ


ตลาดนัดความรักแห่งซาปาในวันที่ยังมาไม่ถึง

                ผมรอฟ้าเปิดอยู่ทั้งวัน แต่หมอกก็ไม่หายไป อากาศก็หนาว เช้าวันต่อมาหมอกยังลงเหมือนเดิม แม้จะบางกว่า แต่ฝนกลับโปรยลงมาชดเชย ถามผู้หญิงที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของโรงแรมเรื่องการขึ้นยอดเขาฟานซีปัง เธอให้คำตอบว่ารถกระเช้ายังเปิดให้บริการ แต่ขึ้นไปแล้วไม่เห็นวิวงาม เสียเวลาเปล่า พรุ่งนี้หมอกก็คงจะลงมาอีก ผมถามเรื่องแลกเงิน เธอรับแลกเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ และเสนอเรตที่ไม่ค่อยดีนัก ผมจึงฝ่าฝนโปรยเดินหาในละแวกนั้น

                ธนาคารแรกที่เจอไม่รับแลก แต่ยังมีน้ำใจแนะนำธนาคารอีกแห่งชื่อ Vietin Bank ใกล้ๆ ตลาดซาปา ได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีมาก ผมแลก 100 ดอลลาร์ เอามาซื้อเสื้อแจ็กเกตจากร้านของโรงแรม ราคาตัวละ 400,000 ดอง แล้วใส่ทันที เสื้อตัวนี้ยังจะมีประโยชน์มากยามอยู่ในเมืองจีน

 


หมอกลงคลุมเมืองจนผู้เขียนต้องตัดสินใจเก็บยอดเขาฟานซีปังไว้โอกาสหน้า

 

                ความนึกคิดและการตัดสินใจของผมยังไม่ชัดเจน กระทั่งได้ดื่มกาแฟที่ร้าน Kafa Café รวบรวมความกล้าเดินกลับที่พัก เก็บกระเป๋าลงไปเช็กเอาต์เพื่อเดินทางสู่หล่าวกาย ผู้หญิงที่เคาน์เตอร์และดูแลร้านขายเสื้อผ้าเวลานี้เป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พอรู้ว่าผมจะเดินฝ่าสายฝนไปศูนย์ข้อมูลนักท่องเทียวเพื่อขึ้นรถ เธอก็ใช้แอปแปลภาษาในมือถือยื่นให้ผมอ่าน จึงเข้าใจว่ารอโบกมินิบัสที่หน้าโรงแรมก็ได้

                มีรถจากหล่าวกายผ่านไป เธออธิบายว่าให้รอรถคันนี้แหละ จะเป็นคันต่อไปที่ออกจากศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว ผมรอมินิบัสสีเหลือง-แดง-ขาวอยู่นานมาก แต่ไร้วี่แวว นึกขึ้นได้ว่าเลยเวลา 11 โมงไปแล้ว โชเฟอร์คงพักเที่ยงและต่อด้วยเซียสต้า จังหวะนั้นมีรถตู้ขับผ่านมา ป้ายหน้ารถเขียน Lao Cai ผมก็พูดขึ้นว่า “หล่าวกาย” แม้ไม่ถึงขั้นตะโกน แต่รถจอด คนขับอาจจะมีหูชั้นยอด หรือไม่ก็เก่งกาจในด้านการอ่านปาก ผมแบกกระเป๋าวิ่งตามออกไปขึ้นรถ

                ทิ้งซาปาไว้ข้างหลังโดยที่ยังไม่เห็นนาขั้นบันได ไม่ได้เที่ยวหมู่บ้านชาวเขา และไม่ได้ขึ้นไปชิมวิวจากยอดฟานซีปัง.

 

 

 

 

 

 

 

 

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"