ระอุ “บิ๊กโจ๊ก” เปิดหน้าฟัด “บิ๊กแป๊ะ” เปิดแผลรอยร้าวสะเทือนกรมปทุมวัน


เพิ่มเพื่อน    

 

      “กรมปทุมวัน” ร้อนระอุตั้งแต่เริ่มศักราชปีหนู เมื่อ 2 ไอ้โม่งควบ จยย.กระหน่ำยิงรถยนต์หรู เลกซัส อาร์เอ็กซ์ 270 ทะเบียน 9 กจ 351 กรุงเทพ ของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) อดีตนายตำรวจชื่อดัง ย่านสุรวงศ์ รถยนต์ได้รับความเสียหาย

                ห่ากระสุนสะเทือนถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “บิ๊กโจ๊ก”  พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ซัดชนวนการลอบยิงครั้งนี้มาจากความขัดแย้งกับผู้มีอำนาจสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องการทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องพิสูจน์อัตลักษณ์ หรือเครื่องไบโอเมทริกซ์ ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่มีงบสูงถึง 2,000 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าอัฉริยะ ทำให้ผู้มีอำนาจและพวกฟ้องเสียผลประโยชน์  

                การปรากฏตัวคราวนี้ “บิ๊กโจ๊ก” เปิดหน้าสู้หลังเก็บตัวนานอยู่นับปี ที่ถูก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.เซ็นต์คำสั่งเด้งขณะดำรงตำแหน่ง ผบช.สตม. มาประจำที่ ศปก.ตร. โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ให้หลังเพียง 3 วัน มีคำสั่งให้โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือน สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่มีใครคาดคิดว่าฟ้าจะผ่ากรมปทุมวัน เมื่อ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ลูกรัก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเป็นผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น ถูกถอดเครื่องแบบตำรวจ ชีวิตราชการตำรวจกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด มีสิทธิ์คว้าเก้าอี้ “ผบ.ตร.” อีกไม่กี่ปีข้างหน้า

                อดีต ผบช.สตม.ฟันธงคนร้ายหวัง “เอาชีวิต” จนเกิดคำถามในสังคมว่าใครจะกล้าดีกับอดีตนายพลที่ใหญ่คับประเทศ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันคนสั่งการเป็นผู้มีอำนาจ พร้อมแจงความขัดแย้งมาจากที่ตนเองเซ็นยกเลิกโครงการไบโอเมทริกซ์ ขณะดำรงตำแหน่ง ผบช.สตม. เพราะพบการทุจริตจากวงเงินตอนแรกเพียง 1,000 ล้าน กลายเป็น 2,000 ล้าน มีการขยายสัญญาเอื้อเอกชน และเครื่องไบโอเมทริกซ์ไม่สามารถใช้ได้จริงตามมาตรฐานสากล จนเกิดความเสียหายต่อรัฐ จนต้องทำหนังสือถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. 2 ฉบับเพื่อยุติโครงการ  แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง จึงต้องเซ็นเอกสารยกเลิกสัญญา กลายเป็นชนวนเหตุความขัดแย้งภายในองค์กร โดยเจ้าตัวอ้างเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ

                ซึ่งเรื่องนี้ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อประชาชนและสังคม ได้ยื่น ป.ป.ช.ตรวจสอบการทุจริตตั้งแต่กลางปี 62 โดยมีชื่อของ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. และนายพลระดับบิ๊กของ ตร.อีก 3 คน ในฐานะผู้ตรวจรับงานและขยายสัญญาให้กับเอกชนถูกตรวจสอบ พร้อมยื่น “บิ๊กโจ๊ก” พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 13 คนที่เป็น คณะกรรมการไม่เซ็นตรวจรับงานไอโอเมทริกซ์เข้าให้การกับ ป.ป.ช.ในฐานะพยานในคดี

                การลอบยิงรถอดีต ผบช.สตม. เป็นการเปิดแผลรอยร้าวระหว่าง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ - “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ซึ่งทั้ง 2 ผู้ยิ่งใหญ่ต่างเป็นลูกรักของ “ลุงป้อม” เมื่ออดีต ผบช.สตม.เดินหน้าแฉออกสื่อรายวัน ถึงแม้ไม่ระบุว่าเป็นใคร แต่รู้กัน เป้าหมายคือ “ผบ.แป๊ะ” ผู้นำองค์กรสีกากี

                ตอกย้ำด้วยคลิปเสียงปริศนา ที่มาเฉลยทีหลังเป็นการสนทนาระหว่าง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ “บิ๊กต้อย” พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ขณะรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เดินทางไปต่างประเทศ ต่อสายตรงถึง “บิ๊กต้อย” ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดียิงรถ “บิ๊กโจ๊ก” เนื้อหาบางการสนทนาบางส่วนระบุ.. “ห้ามออกไปแถลงข่าว สั่งการไปแล้วรอรายงานก็พอ เหมือนเตี๊ยมกันมา ..นึกว่ามีวุฒิภาวะพอไม่ไปเอาเรื่องส่วนตัว 2 คนมาร่วมด้วย..รู้ว่าคิดอะไรอยู่..โตป่านนี้อายุขนาดนี้แล้ว ให้ “พล.ต.ท.” มาสั่ง “พล.ต.อ.” อยู่สำนักนายกฯ อยู่คนละที่กัน”

                ทางโฆษก ตร.ออกมาแก้ต่างภายหลังคลิปเสียงหลุดออกมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เป็นการกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา ระดับ ตร.ตามปกติ แต่ท้ายของถ้อยคำแถลงของทีมโฆษก ตร.ให้ความเห็นเรื่องการอัดคลิปเสียง “ไม่ทราบว่าใครอัด และอยากรู้เหมือนกันว่าใครทำ เพราะโดยมารยาทแล้วการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างบุคคลนั้น ไม่ควรอัดบทสนทนาเอาไว้ ยกเว้นคู่สนทนาจะมีเจตนารมณ์แอบแฝงในทางที่ไม่ดีกับอีกฝ่ายหนึ่ง”

                เมื่อวิเคราะห์ถ้อยคำการสนทนาระหว่าง “บิ๊กแป๊ะ” กับ “บิ๊กต้อย” หลายถ้อยคำเป็นการส่งซิกให้ “บิ๊กต้อย” รู้ว่า “ผบ.ตร.” รู้กำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ บอกนัยๆ ให้หยุดการกระทำ พลัน “บิ๊กโจ๊ก” ออกมาให้สัมภาษณ์ ไม่มีความสนิทส่วนตัวใดๆ กับ พล.ต.อ.วิระชัย รู้จักกันในฐานะผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น ซ้ำยังออกมาฉะ ผบ.ตร. “เป็นผู้บังคับบัญชาแล้วมาสั่งแบบนี้ลูกน้องจะรู้สึกอย่างไร ถ้าผมเป็นผู้นำองค์กรแล้วสั่งแบบนี้ สังคมรู้แบบนี้ อยู่ไม่ได้ลาออกดีกว่า ผมมีสปิริต เรื่องนี้เป็นเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ผมถามว่าวันนี้จะให้สังคมมั่นใจได้ยังไง จะอยู่ยังไง องค์กรจะอยู่ยังไง”

                “โจ๊ก” ไม่หวานเจี๊ยบเหมือนที่ผ่านมา เข้มขรึม ดุดัน ชกกล่องดวงใจ “บิ๊กแป๊ะ” ร้อนถึง “บิ๊กป้อม” ลูกพี่ใหญ่ต้องเข้ามาอย่าศึกเตรียมเรียกทั้ง 2 มาพูดคุยเพื่อไม่ให้บานปลายไปกว่านี้  คดีไบโอเมทริกซ์ศึก “ช้างชนช้าง” อยู่ระหว่างการสอบสวนของ ป.ป.ช.ต้องดูกันอีกยาวๆ ทั้งคดีลอบยิงรถก็ดูเหมือนว่าจะค่อยๆ เงียบไป ที่เจ้าตัวออกมาเปรยไม่หวังตำรวจจะจับคนร้ายได้ เมื่อระดับผู้นำองค์กรออกมาสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาแบบนี้

                ศึกระหว่าง “บิ๊กแป๊ะ” กับ “บิ๊กโจ๊ก” ไม่ทันจาง ต้องจับตาไปที่ “กรมปทุมวัน” จะมีรอยร้าวเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ระหว่าง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. กับ “บิ๊กต้อย” พล.ต.อ.วิระชัย รอง ผบ.ตร. หลังจากที่ถูกเบรกไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับคดียิงรถอดีต ผบช.สตม. ในฐานะรักษาการ ผบ.ตร.   พล.ต.อ.วิระชัย ได้ลงไปกำกับดูแลควบคุมสั่งการติดตามตัวคนร้ายคดีสะเทือนขวัญปล้นร้านทองที่จังหวัดลพบุรี ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 3 ศพ

                กระทั่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กลับจากต่างประเทศนั่งเฮลิคอปเตอร์ต่อไปยังจังหวัดลพบุรีทันที พร้อมระดมนักสืบมือดีจากนครบาลลงพื้นที่ไล่ล่าคนร้าย พร้อมหนีบนักสืบมือฉมัง ทั้ง “บิ๊กช้าง” พล.ต.อ.ชัยวุฒน์ เกตุรวชัย “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. เพื่อนร่วมรุ่น นรต.36 ขณะที่ “บิ๊กใหม่” พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนลงพื้นที่ไปก่อนหน้านั้น พร้อมมอบหมายให้ “บิ๊กช้าง” พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เป็นหัวหน้าคณะทำงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งไร้เงา พล.ต.อ.วิระชัย ที่ลงไปกำกับดูแลก่อนหน้านั้น ที่เจ้าตัวระบุว่า ถ้า ผบ.ตร.มาถึงจะได้มอบงานที่ทำมาก่อนให้กับทาง ผบ.ตร.เพื่อดำเนินการต่อ แต่ปรากฏว่า ก่อนที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ จะมาไม่ถึงชั่วโมง พล.ต.อ.วิระชัย แถลงข่าวเสร็จก็รีบกลับกรุงเทพฯ ทันที

                ฤาศึกช้างชนช้าง “บิ๊กโจ๊ก” กับ “บิ๊กแป๊ะ” จะลามไปยังถึง  “บิ๊กต้อย” ซึ่งเป็นหนึ่งในไทม์ไลน์ที่สามารถก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ขององค์กรได้ เพราะยังเหลืออายุราชการอีกหลายปี ส่วน ผบ.ตร.จะเกษียณในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถึงแม้แคนดิเดต “ผบ.ตร.คนต่อไปกูรูสีกากีฟันธงน่าจะยังอยู่ที่ นรต.รุ่น 36 เพื่อนร่วมรุ่น “ผบ.แป๊ะ” ทั้ง “บิ๊กใหม่” พล.ต.อ.สุชาติ และ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ ที่เกษียนปี 65 แต่เก้าอี้ “ผบ.ตร.” มีตัวเดียวใครก็อยากได้     

                เฉกเช่น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.ออกมาให้ความเห็นเคสยิงรถ “บิ๊กโจ๊ก” เป็นแค่การจัดฉากเลื่อยขาเก้าอี้ “ผบ.แป๊ะ” ให้กระเด็นก่อนเกษียณ เพื่อหวังกลับมาสวมเครื่องแบบตำรวจอีกครั้ง ซึ่ง “บิ๊กโจ๊ก” เองก็เปรยอยากกลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้งเช่นเดียวกัน ถ้ามีการเปลี่ยนหัวผู้นำสีกากี “บิ๊กโจ๊ก” รีเทิร์น ก็มีความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน ต้องจับตาดูกันยาวๆ.

 

 *พลาญชัย**

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"