"ปิยบุตร" อ้าง "เขา" มีแผนล้างพรรคอนาคตใหม่ กำจัด "ธนาธร" ขู่เล่นในสภาไม่ได้ การเมืองท้องถนนก็จะเพิ่มขึ้น การนำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกำจัดผู้เห็นต่าง ทำให้เกิดการแบ่งแยกเช่นที่เกิดขึ้น มีการสอดส่องความคิดของคน ไม่ต่างอะไรกับการมีเกสตาโปในสมัยนาซีเยอรมนี กำลังทำลายความหวังของคนรุ่นใหม่ จะฆ่าหนูตัวเดียว เผาบ้านทั้งบ้าน เผาป่าทั้งป่า
เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กลุ่มคณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ จัดงานเสวนาในหัวข้อ “สังคมไทยหลังยุบพรรคอนาคตใหม่” โดยมีนักวิชาการ นักกิจกรรมมาร่วมเวที อาทิ นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน, น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง
ช่วงหนึ่งของงาน นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ติดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ได้วิดีโอคอลเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนในประเด็นดังกล่าวด้วย โดยระบุว่า ในส่วนตัวแล้วมีความมั่นใจว่าถ้าพิจารณาตามข้อกฎหมายจริงๆ ทั้งสองคดีที่อยู่ในศาลตอนนี้ไม่มีทางนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่ได้ แต่การวิเคราะห์ฟันธงของทุกคนที่ว่ายุบแน่นอน ไม่ได้มาจากการประเมินทางกฎหมาย แต่เป็นเรื่องการประเมินในทางการเมืองล้วนๆ ซึ่งตนเสียดายว่าในรอบ 13 ปีที่ผ่านมาเรายังคงต้องใช้การประเมินในมิติทางการเมืองมามองเรื่องที่ควรเป็นประเด็นทางกฎหมายอยู่
นายปิยบุตรกล่าวว่า สถานการณ์ตอนนี้มีสองคดีที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ คือคดีอิลลูมินาติ ที่จะมีการวินิจฉัยคดีในวันที่ 21 ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นการยื่นคำร้องตามมาตรา 49 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งในกรณีนี้ไม่สามารถนำไปสู่การยุบพรรคได้ ได้เพียงสั่งให้บุคคลหยุดการกระทำเท่านั้น แต่สุดท้าย กกต.ก็เลือกที่จะทำผิดขั้นตอนดังกล่าว และอีกคดีหนึ่งคือคดีเงินกู้ ซึ่งมีเอกสารหลุดออกมาชี้ให้เห็นแล้วว่ามีความจงใจทำผิดขั้นตอนเพื่อนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่ให้ได้ ซึ่งสิ่งที่ตนต้องการจะบอก คือต่อให้สุดท้ายแล้วถ้าเขาใช้ช่องทางนี้สำเร็จในการจัดการตนและนายธนาธรได้จริง ก็จะไม่มีทางทำให้ตนและนายธนาธรหายไปจากการเมืองไทย ไม่ให้ตนและนายธนาธรพูดในสภา ตนก็จะเดินสายพูดทั่วประเทศ รณรงค์เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องต่อไป และไม่ทำให้พรรคอนาคตใหม่และ ส.ส.อนาคตใหม่หายไป เพราะ ส.ส.ทั้งหมดก็จะไปอยู่ที่บ้านใหม่แทน
“แต่ผลกระทบคือคุณกำลังนำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกำจัดผู้เห็นต่าง ทำให้เกิดการแบ่งแยกเช่นที่เกิดขึ้นมาในอดีต ต่อมาเราจะเกิดกระบวนการตรวจสอบ สอดส่องความคิดของคน จะมีการตัดสิทธิทางการเมืองกลุ่มคนที่ก้าวหน้า ต้องการเปลี่ยนแปลง ไม่ต่างอะไรกับการมีเกสตาโปในสมัยนาซีเยอรมนี เป็นการกีดกันคนจำนวนหนึ่งออกไปจากระบบการเมืองไทย และที่สำคัญ คุณกำลังทำลายความหวังของคนรุ่นใหม่ เกิดความคิดที่ว่าระบบการเมืองในสภาไม่ตอบโจทย์ จะฆ่าหนูตัวเดียวเผาบ้านทั้งบ้าน เผาป่าทั้งป่า เหมือนที่ผ่านมา สุดท้ายก็กำจัดไม่สำเร็จ จะเอาระบบรัฐธรรมนูญไทยทั้งระบบไปแลก เพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งได้ครองอำนาจต่อไปเท่านั้นหรือ” นายปิยบุตรกล่าว
ต้องการกำจัด"ธนาธร"
นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า สำหรับตนแล้ว ได้วิเคราะห์แรงจูงใจทางการเมืองสำหรับการยุบพรรคอนาคตใหม่ไว้ 3 ข้อ ประการแรก คือหวังดึง ส.ส.จากพรรคอนาคตใหม่ไปเติมให้ฝ่ายรัฐบาลพ้นสภาวะเสียงปริ่มน้ำ ทุกวันนี้ ส.ส.เราเดินไปมาในสภา ถูกคนจากพรรคอื่นมาชวน ส.ส.เราไปอยู่ด้วยอย่างเปิดเผย ประการที่สอง เขาต้องการกำจัดตนและนายธนาธรออกไปจากการเมืองไทย และสุดท้าย เขาต้องการกำจัดความคิดแบบอนาคตใหม่ที่เริ่มฟูมฟักตอนนี้ ให้หายไป ไม่มีใครกล้าตามหรือกล้าทำแบบนี้อีก
เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้วัตถุประสงค์ทั้งหมดของเขาล้มเหลว ถ้า ส.ส.ทุกคนย้ายไปบ้านใหม่ทั้งหมด สมาชิก 60,000 คน พากันไปต่อคิวสมัครสมาชิกใหม่ที่บ้านใหม่ทั้งหมด ถ้าตนและนายธนาธรไม่หยุดเคลื่อนไหว จะเดินสายไปพบกับประชาชนทั่วประเทศ รณรงค์อย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายถ้าทุกคนยังยึดมั่นในความคิดแบบอนาคตใหม่ พวกเขาจะล้มเหลวในทุกวัตถุประสงค์ของการยุบพรรคอนาคตใหม่ทั้งหมด และนี่คือสิ่งที่ตน นายธนาธร พรรคอนาคตใหม่ และชาวอนาคตใหม่จะทำ
“เพราะเราไม่ได้คิดแต่อยากเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรี เป็นรัฐบาล แต่เพราะเราต้องการเปลี่ยนแปลงจริงๆ เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงโดยระบบรัฐสภาเป็นไปได้ เสียหายน้อยที่สุด สันติที่สุด แต่ถ้าที่สุดจะไม่อนุญาตให้เปลี่ยนแปลงโดยใช้ระบบรัฐสภา ถ้าสภาหรือสถาบันการเมืองไม่ตอบโจทย์ต่อประชาชน การเมืองท้องถนนก็จะเพิ่มขึ้น ถ้าการเมืองในรัฐสภาตอบโจทย์ประชาชนได้ การเมืองบนท้องถนนก็จะลดน้อยลง นี่เป็นเรื่องปกติทั่วโลก สุดท้ายผมต้องพูดว่าการเมืองไทยวันนี้ต่างไปจากในอดีตมากแล้ว คุณต้องรู้ตัวได้แล้วว่าไม่สามารถครองอำนาจได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อประชาชนเริ่มตื่นรู้ว่าชีวิตพวกเขาดีกว่านี้ได้ ว่าเรามีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของทุกคนดีกว่านี้ได้ คุณมีอาหาร 10 จานอยู่บนโต๊ะ แล้วจะกินคนเดียวหมดทุกจาน โดยไม่ให้คนอื่นที่เหลือเลย มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว” นายปิยบุตรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วาระการประชุมสภาผู้แทนฯ วันที่ 15 และ 16 ม.ค.นี้ มีเรื่องด่วนจำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ร่าง พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ) 2.ร่าง พ.ร.บ.ยุบเลิกบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... (คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ) และ 3.ขออนุญาตสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกตัวนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, น.ส.พรรณิการ์ วานิช และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ไปทำการสอบสวนคดีอาญาในระหว่างสมัยประชุม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 125
เรื่องด่วนที่ 3 นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในเอกสารด่วนที่สุด ที่ ตช.001.24/4 เรื่องการขออนุญาตเรียกตัว ส.ส. โดยมีสาระสำคัญว่าด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล กรณีการสืบสวนสอบสวนการชุมนุมในที่สาธารณะ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2562 เวลาประมาณ 17.00 น. บริเวณสกายวอล์ก หน้าศูนย์การค้ามาบุญครอง ซึ่งเป็นการจัดการชุมนุมสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยปรากฏจากการสืบสวนสอบสวนปรากฏพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า นายพิธา, น.ส.พรรณิการ์ และนายปิยบุตร ซึ่งเป็น ส.ส. มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกระทำการดังกล่าวด้วย จึงมีความจำเป็นต้องเรียกตัวในฐานะเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เพื่อทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรมกับผู้เกี่ยวข้อง ด้วยเหตุที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างสมัยประชุมรัฐสภา ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขออนุญาตออกหมายเรียก ส.ส.ทั้งสามรายไปทำการสอบสวนในฐานะเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เพื่อดำเนินการสอบสวนตามบัญญัติรัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 ต่อไป จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
เอกสิทธิ์คุ้มครองชนชั้น ส.ส.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมาตรา 125 ของรัฐธรรมนูญ มีทั้งสิ้นสี่วรรค โดยแต่ละวรรคบัญญัติไว้ดังนี้ วรรคหนึ่ง ความว่า ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาไปทําการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นการจับในขณะกระทําความผิด
วรรคสอง ความว่า ในกรณีที่มีการจับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในขณะกระทําความผิดให้รายงานไปยังประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกโดยพลัน และเพื่อประโยชน์ในการประชุมสภา ประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกอาจสั่งให้ปล่อยผู้ถูกจับเพื่อให้มาประชุมสภาได้
วรรคสาม ความว่า ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาถูกคุมขังในระหว่างสอบสวนหรือพิจารณาอยู่ก่อนสมัยประชุม เมื่อถึงสมัยประชุม พนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณี ต้องสั่งปล่อยทันทีถ้าประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกได้ร้องขอ โดยศาลจะสั่งให้มีประกันหรือมีประกันและหลักประกันด้วยหรือไม่ก็ได้
วรรคสี่ ความว่า ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุม ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมก็ได้ แต่ต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา
ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) สนามเป้า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองผู้บัญชาการทหารบก (รอง ผบ.ทบ.) กล่าวถึงการดูแลสถานการณ์ที่จะมีกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในวันที่ 12 ม.ค. ที่สวนวชิรเบญจทัศ หรือสวนรถไฟ ว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ให้นโยบายว่า ไม่มองว่ากิจกรรมวิ่งไล่ลุงว่าจะสร้างความวุ่นวาย เพียงแต่มีข้อห่วงใย ซึ่งหลายคนที่ไปร่วมกิจกรรมมีเจตนาที่บริสุทธิ์ และต้องการแสดงออก แต่ก็ห่วงว่ากิจกรรมวิ่งไล่ลุงจะถูกขยายผลไปสู่ความวุ่นวาย แต่เราไม่ได้มองภาพรวมของกิจกรรมว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี หรือไม่ถูกต้อง เราห่วงใยในฐานะที่เป็นหน่วยความมั่นคงที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย จากการประเมินสถานการณ์ คิดว่าคนไทยมีดุลยพินิจและเห็นแก่ประโยชน์บ้านเมือง คงช่วยกันดูแล อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือไปยังประชาชน ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์บ้านเมืองเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยแล้ว ก็อยากเห็นบ้านเมืองเป็นแบบนี้ตลอดไปภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ระบุว่า กิจกรรมวิ่งไล่ลุง เป็นกิจกรรมการแสดงออกของพี่น้องประชาชน ที่สะท้อนให้เห็นความต้องการของประชาชนในเวลานี้ ว่าเบื่อหน่ายและเดือดร้อนจากการบริหารประเทศที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล ซึ่งการแสดงออกทางการเมืองถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลที่เรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย ไม่ควรไปละเมิดหรือระงับยับยั้งสิทธิของประชาชน
ทั้งนี้ จากการติดตามข่าว พบว่าการจัดงานวิ่งไล่ลุงเป็นไปอย่างคึกคัก ตื่นตัว และได้ขยายการจัดงานไปมากถึง 26 จังหวัดแล้ว อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าจัดกิจกรรมดังกล่าวกำลังถูกข่มขู่ คุกคามจากเจ้าหน้าที่หรือผู้มีอำนาจในหลายวิธีด้วยกัน
การเมืองวิ่งไล่ลุง
คุณหญิงสุดารัตน์ระบุด้วยว่า ขณะที่อำนาจรัฐกำลังกดดันเพื่อปราบกิจกรรมวิ่งไล่ลุง แต่กลับสนับสนุนการจัดกิจกรรมในลักษณะเดียวกัน ในวันเดียวกัน แต่ด้วยวัตถุประสงค์อีกประการ เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้ประชาชนตีความเป็นอื่นไปได้อย่างไร นอกเสียจากผู้มีอำนาจคงชอบฟังแต่เสียงที่เห็นด้วยกับตัวเอง
"การแสดงออกของประชาชนผ่านกิจกรรมนี้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย จะเป็นก้าวย่างที่เปี่ยมพลัง น่าชื่นชม และควรค่าแก่การให้กำลังใจ การปฏิเสธ รวมถึงการข่มขู่ผู้จัดการและผู้มาร่วมงาน จึงเป็นเรื่องน่าหดหู่ เพราะสะท้อนว่าแม้อยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ผู้มีอำนาจปฏิเสธที่จะรับฟังความเห็นที่แตกต่างไปจากตัวเอง"
คุณหญิงสุดารัตน์ยืนยันว่า กิจกรรมวิ่งไล่ลุงเป็นสิ่งสวยงามตามระบอบประชาธิปไตย การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองและการแสดงออกตามกรอบของกฎหมาย เป็นสิทธิ์ของพลเมืองไทย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี กล่าวถึงกรณีที่เพจวิ่งไล่ลุง โพสต์ข้อความทางเพจวันนี้เมื่อเวลา 12.02 น. แจ้งผู้ที่ลงทะเบียนฟรีให้มารับบิบภายในวันที่ 11 ม.ค. โดยอ้างว่าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ก่อนเวลา 05.00 น. ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่พอใจว่ารัฐใช้อำนาจกลั่นแกล้งว่า เท่าที่ติดตามการประชาสัมพันธ์กิจกรรมวิ่งไล่ลุงมาตลอด ทางผู้จัดได้กำหนดมาตรฐานการจัดการระหว่างผู้ที่ลงทะเบียนฟรีกับผู้ที่ลงทะเบียนแบบเสียเงินเอาไว้แตกต่างกันอยู่แล้ว แต่พอใกล้วันที่จะจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง กลับเผยแพร่ข้อความดังกล่าวออกมาเช่นนี้ สะท้อนเจตนาบิดเบือนหรือไม่ หลอกเสมือนเด็กเลี้ยงแกะ ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าผู้จัดงานโดนกลั่นแกล้ง จงใจที่จะสร้างกระแสปลุกปั่น
ทั้งที่ประชาชนสามารถย้อนกลับไปดูข้อความตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.63 ของเพจวิ่งไล่ลุง ก็จะพบว่า ทางเพจได้ประกาศชัดเจนว่า “บิบสำหรับผู้ลงทะเบียนฟรี รับได้เฉพาะวันที่ 10-11 ม.ค.63 เท่านั้น” ดังนั้นความขัดข้องที่ทำให้ผู้ลงทะเบียนฟรีมารับบิบได้เฉพาะภายในวันที่ 11 ม.ค. จึงไม่เกี่ยวข้องกับการไม่อนุญาตให้เข้าพื้นที่ก่อน 05.00 น. แต่อย่างใด ผู้จัดงานควรสื่อสารให้ชัดเจนเพื่อขจัดความสงสัยของประชาชนว่าผู้จัดต้องการผลักความผิดไปให้ผู้อื่นเพื่อกลบเกลื่อนความขลุกขลักและไม่เป็นมืออาชีพของผู้จัดเองหรือไม่
"ผู้จัดอนุญาตให้ผู้ที่ลงทะเบียนแบบเสียเงินมารับเสื้อและบิบได้ถึง 3 วันคือวันที่ 10, 11 ม.ค. และหน้างานในวันที่ 12 ม.ค. ในขณะที่ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมแบบลงทะเบียนฟรีกลับถูกอนุญาตให้มารับบิบเฉพาะวันที่ 10 และ 11 ม.ค.เท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม ผู้ลงทะเบียนฟรีต้องลางานหรือเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการมารับบิบล่วงหน้า นอกจากนี้ประชาชนยังวิจารณ์ว่าผู้จัดงานยังขายของที่ระลึกในราคาที่สูง กีดกันผู้ที่ไม่มีกำลังซื้ออีกด้วย" น.ส.ทิพานันกล่าว
ทำตัวเองทั้งนั้น
ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย ออกมาเตือนด้วยความห่วงใย โดยระบุว่าพวกเขาจัดวิ่ง ลงทุนมาขนาดนี้ วิ่งเสร็จกลับบ้านนอน แล้วจะอย่างไรต่อ รัฐบาลตอนนี้ก็ไม่ได้โคตรโกง หรือใช้อำนาจลักหลับเหมือนสมัยคุณยิ่งลักษณ์ จนประชาชนโกรธแค้นออกมานับล้านคน รัฐธรรมนูญก็ตั้งกรรมาธิการแล้ว ที่สำคัญคือรัฐบาลก็ผ่านการเลือกตั้งมาเหมือนกัน
ส่วนปัญหาที่เกิดก็ล้วนแต่ตนเองทำผิดกฎหมายเองทั้งสิ้น แม้จะพยายามปลุกระดม เราไม่กลัว เราไม่ยอมจำนน ก็แทบจะไม่มีเงื่อนไขการระดมคนในครั้งต่อไป สิ่งที่ต้องห่วงใยคือ เมื่อลงทุนจัด ทำคลิปโฆษณาก็ไม่ใช่ถูกๆ จะยอมให้กลับบ้านนอนแบบไม่มีอะไรเลยหรือ
"จึงนึกย้อนถึงคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง จนถึงการใช้เลือดแก้รัฐธรรมนูญ กังวลว่าจะมีการทำให้เสียเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นเลือดเนื้อของลูกหลานประชาชนทั้งสิ้น เพื่อหวังผลทางการเมืองครั้งต่อไป" นพ.วรงค์ระบุ
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า การที่หัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรคปลุกระดมมวลชนมาชุมนุมเพื่อปกป้องความผิดของอันเกิดจากความสะเพร่าของตนเองที่เรียกว่าแฟลชม็อบ โดยปฏิเสธที่จะแจ้งหัวหน้าสถานีตำรวจท้องที่ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ 2558 นั้น บัดนี้เป็นประจักษ์โดยชัดแจ้งว่า เป็นพฤติการณ์ฝ่าฝืนกฎหมายโดยมีเป้าหมายที่วางแผนไว้ล่วงหน้า นั่นคือการช่วงชิงพื้นที่ข่าวธรรมดาของเด็กอมมือเขาทำกัน เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย ก็จะตีโพยตีพายว่าถูกกลั่นแกล้ง พร้อมปลุกระดมสาวกให้มาร่วมแสดงพลัง ในวันที่ต้องไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมกลับกล่าวหาฟาดงวงฟาดงาว่า "เป็นความพยายามของเผด็จการที่ทำให้ประชาชนกลัวและสิ้นหวังเพื่อที่พวกเขาจะได้ครองอำนาจต่อไป"
นายศรีสุวรรณยืนยันว่า กรณีแฟลชม็อบที่เกิดขึ้น เป็นการจงใจเจตนาที่จะกระทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 หลายมาตรา เมื่อฝ่าฝืนกฎหมายโดยชัดแจ้ง ตำรวจก็ต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย โดยการออกหมายเรียกมาสอบสวนเป็นไปตาม ป.วิ.อาญา มันเกี่ยวกับเผด็จการตรงไหน แต่ถ้าตำรวจไม่ดำเนินคดีซิครับ อาจเจอ ป.อ.157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ การปลุกเร้าสาวกให้เข้าใจในการปฏิบัติตามกฎหมายในทางที่ผิด ไม่ใช่วิสัยของคนรุ่นใหม่แต่อย่างใด หากแต่เป็นพวกหลงตัวเอง หลงยุค ที่รังแต่จะนำพาสาวกและพลพรรคเข้าคุกเข้าตารางเท่านั้นครับ #กล้าทำผิดก็ต้องกล้ายอมรับผิดครับ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |