จะทำอย่างไรเมื่อสหรัฐกดดันให้เราเลือกฝ่าย!'เอนก'โพสต์ความท้าทายต่างประเทศและยุทธศาสตร์ความมั่นคง


เพิ่มเพื่อน    

10 ม.ค.63 - ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อธิการวิทยาลัยบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา โพสต์ ข้อความบนเพจเฟซบุ๊ก เอนก เหล่าธรรมทัศน์ Anek Laothamatas เรื่อง ความท้าทายทางการต่างประเทศและทางยุทธศาสตร์ความมั่นคง มีเนื้อหาดังนี้

วันนี้ 9 มค 63 สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ จัดเสวนาเรื่องความท้าทายที่ไทยต้องเผชิญในด้านการต่างประเทศและด้านความมั่นคง มี อดีตเอกอัครราชทูต 5 ท่าน สมาชิกวุฒิสภา 3 ท่าน นายพลเอก นอกราชการ 2 ท่าน ผู้ใหญ่ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติและ นายทหาร นักวิชาการระดับอาวุโส ตลอดจนคนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจอีกหลายท่าน เข้าร่วม

ความท้าทายทางการต่างประเทศมีที่มาจาก ระเบียบโลกเดิมที่สหรัฐเคยครอบงำโลกแต่ผู้เดียว นั้น ได้กลายมาเป็นระบบโลกที่ในแง่หนึ่งมีหลายขั้วหลายฝ่าย คือ สหรัฐ ยุโรป รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น แบ่งอำนาจกัน แต่ในอีกแง่หนึ่งยุโรป ญี่ปุ่นนั้น ก็อยู่ใต้กำกับของสหรัฐไม่น้อย และ รัสเซีย เอง ก็ยังอ่อนด้อยกว่าชาติมหาอำนาจอื่นๆ มากในทางเศรษฐกิจ และประชากรก็มีไม่เพียงพอ จึงอาจสรุปได้อีกอย่างว่าขณะนี้โลกมีเพียงสองมหาอำนาจที่อยู่เหนือกว่าชาติอำนาจอื่นๆ ชัดเจน คือ สหรัฐ และ จีน

แม้ในด้านการทหารสหรัฐยังเหนือกว่าจีนค่อนข้างชัดเจน แต่ประชากรจีนนั้น นอกจากมีคุณภาพสูงแล้ว ยังมีจำนวนมากกว่าสหรัฐถึง 4 เท่า ในทางเศรษฐกิจจีนก็เติบใหญ่รวดเร็ว จนใหญ่กว่าญี่ปุ่นถึง 4 เท่าแล้ว และใหญ่กว่าเยอรมันมากกว่านั้นเสียอีกและจะเติบใหญ่เท่าสหรัฐได้ภายใน 10 ปีข้างหน้า ในด้านเทคโนโลยีจีนก็ไม่ได้เป็นพวกผลิตแต่ของถูก-ทำแต่ของปลอม ต่อไป หากยังมีนวัตกรรม และ มีไฮเทคของตนเองทีมีระดับค่อนข้างสูงทีเดียว

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้สหรัฐในยุคของท่านประธานาธิบดีทรัมพ์ ไม่ยอมนิ่งเฉยต่อไป หากมุ่งระวัง กดดัน กีดกั้น ปิดล้อมจีน ในด้านการต่างประเทศและด้านความมั่นคง เพื่อไม่ให้จีนดำเนินนโยบายในสองด้านนี้อย่างสะดวกสบาย และจะไม่ยอมให้จีนอาศัยเทคโนโลยี่ของตะวันตก และ อาศัยการค้าการลงทุนเสรีในตลาดโลกมาเติมพลังเศรษฐกิจให้ตนเองอย่างมหาศาล ดังที่เคยเป็นมา

ประเด็นที่มากระทบไทยและอาเซียนฉกาจฉกรรจ์ก็คือ: สหรัฐดูจะพยายามกดดันให้เราต้อง “เลือกฝ่าย” จะเป็นฝ่ายจีน หรือ ฝ่ายสหรัฐ เอาให้แน่ แต่จะอยู่กับทั้งสองฝ่ายไม่ได้ !! นี่คือความท้าทายใหญ่ที่ไทยเราต้องเผชิญในทางการต่างประเทศ เราจะทำอย่างไรดี ?

ท่านอดีตเอกอัครราชทูตสุรพงษ์ ชัยนาม ชี้ว่า หากจะต้องเลือก ก็จงเลือกเพราะผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่เลือกเพราะอุดมการณ์ เช่นที่สหรัฐพยายามชักจูงเรา ท่านเหมือนจะบอกว่าเราจงอย่าลืมอดีต คือ เมื่อเวียดนามรุกเข้ายึดกัมพูชาในปี 2522-23 นั้น ผลประโยชน์แห่งชาติก็กำหนดเราให้หันไปคบและเป็นพันธมิตรกับจีน ซึ่งช่างมีอุดมการณ์ต่างกับเรามาก เกือบจะตรงข้ามทีเดียว ในขณะนั้นเอง สหรัฐซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมือง-เศรษฐกิจร่วมกับเรา กลับละทิ้งเอเชียอาคเนย์ไปเสีย ปล่อยให้ไทยผู้เคยเป็นมิตรรักร่วมอุดมการณ์ ต้องพลันมารับศึกหนักจากเวียดนามที่มาประชิดชายแดนกัมพูชา-ไทย อยู่ตามลำพัง

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมคิดว่าในแง่หนึ่ง ต้องตระหนักว่าจีนกับเราจริงๆ แล้ว ไม่ได้เป็น “ปรปักษ์” ทางอุดมการณ์ จีนนั้นเลิก “ส่งออกอุดมการณ์” มานานแล้ว และได้เป็นมิตรใกล้ชิดกับไทยมาร่วม 4 ทศวรรษแล้ว ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล หรือรัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือการยึดอำนาจ จีนก็ไม่มีปัญหา กลไก-สถาบันทางการเมืองของสองชาตินั้นก็แตกต่างกันมาก โปรดสังเกตว่าฝ่ายหนึ่งนั้นมีพรรคคอมมิวนิสต์นำรัฐ ส่วนอีกฝ่าย มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัยของประเทศ

ท่านทูตสุรพงษ์แนะนำแข็งขันว่าไทยเราจะ “ต้องเอา ต้องคบ” ทั้งจีนและสหรัฐต่อไป และอาเซียนทั้งหมดก็คงไม่มีใครทิ้งจีน เราไม่ได้อะไรจากการทิ้งจีน และถ้าเราไปอยู่กับสหรัฐฝ่ายเดียวก็จะไม่ได้อะไรเพิ่มเติม หรือเพิ่มเติมมากนัก สถานะของสหรัฐตอนนี้ คงจะไม่ทำให้เราเสียหายมากนัก ถ้าสหรัฐไม่คบเรา และ เอาเข้าจริง แล้ว เชื่อว่าสหรัฐเองนั่นแหละย่อมจะไม่กล้าทิ้งไทย ไม่กล้าทิ้งอาเซียน เพราะว่าหากทิ้งไปแล้ว ผลประโยชน์ชาติและความมั่นคงของสหรัฐเองจะเสียหายมากกว่า และดุลกำลังที่เป็นจริง ที่ไม่ขาดเหลือกันมากนัก ที่ดำรงอยู่ในเวลานี้ ระหว่างจีน-สหรัฐ ก็ดี และ สหรัฐ-อาเซียน ก็ดี ระหว่าง จีน-อาเซียน ก็ดี จะทำให้สหรัฐได้แต่พูดหรือเจรจาหรือขู่ แต่ที่จะกดดันให้เราทิ้งจีนได้จริงนั้น ยากมาก

ท่านทูตสุรพงษ์ย้ำว่าเราอย่ามองแต่ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ ต้องมองอะไรที่กว้างกว่านั้น ต้องอ่านปริบทให้ออก และอย่าส่งสัญญาณที่ผิดออกไปเป็นอันขาด ในอดีตนั้น เมื่อเวียดนามเตรียมบุกกัมพูชา ได้เดินทางมาพบปะกับท่านนายกรัฐมนตรีพล อ เกรียงศักดิ์หลายครั้ง แจ้งให้เราทราบว่าเวียดนามกับกัมพูชาขัดแย้งกันหนัก อาจมีสงคราม ขอให้เราเป็นกลาง นายกฯ เกรียงศักดิ์มักจะตอบว่าความขัดแย้งเป็นของสองชาติ ไม่เกี่ยวกับไทย เราเองไม่อยากให้เกิดสงคราม แต่ก็จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ตรงนี้เองที่เวียดนามมองว่าไทย “ส่งสัญญาณ” ว่าจะวางตัวเป็นกลาง และก็อาจเป็นด้วยเหตุนี้เอง จึงตัดสินใจเข้ายึดกัมพูชา

จากนั้น พล อ เจิดวุธ คราประยูร นักยุทธศาสตร์คนสำคัญ และยังอยู่ในราชการ ก็ได้นำเสนอหลักนิยมใหม่ด้านสงครามและความมั่นคง อันเป็นผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ของโลก การก้าวกระโดดใหญ่ของสมรรถนะคอมพิวเตอร์ การมาถึงยุค 5 G ในการสื่อสาร เกิด เทคโนโลยีด้านการผลิตที่ชาญฉลาดและเก็บข้อมูลและใช้ข้อมูลได้อย่างสร้างสรรค์ ทำให้บัดนี้สงครามไม่เป็นเรื่องของทหารและกำลังรบฝ่ายเดียว เส้นแบ่งระหว่างการใช้ความรุนแรงอย่างเป็นทางการกับไม่เป็นทางการจะไม่มี เส้นแบ่งระหว่างการใช้ความรุนแรงของฝ่ายรัฐ กับฝ่ายที่อยู่นอกรัฐ หรือ ไม่ใช่รัฐ ก็จะไม่มี เส้นแบ่งระหว่างการพัฒนากับความมั่นคงไม่มี การต่อสู้ด้านความมั่นคงจะใช้รูปแบบมากมายหลากหลาย จนที่สุดกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และฝ่ายความมั่นคงอย่างที่เรามีจะไม่เพียงพอที่จะตั้งโจทย์ และ ตอบโจทย์ภัยคุกคามได้ ที่สำคัญพลังที่คุกคามจากนอกประเทศจะลอบเข้ามาแทรกแซงก่อเหตุในประเทศจนถึงขั้นล้มระบอบแล้วเปลี่ยนระบอบได้ (Regime Change) อย่างประณีตแนบเนียนเสมือนว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ มาจากคนในประเทศล้วนๆ หรือมาจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก

สมาชิกในที่ประชุมหลายท่านเสนอว่า ในขณะที่โลกเปลี่ยนเร็วมาก เหมือนเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยเลยก็ว่าได้ จนของใหม่กับของเก่านั้นช่างต่างกันมาก การเปลี่ยนแปลงก็ช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก ฉะนั้นการวิจัย ค้นคิด และการเรียนรู้ การปรับตัว การจัดองค์กรใหม่อย่างรวดเร็ว และให้ได้ผลนั้น จึงจำเป็นมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ รัฐและสังคมไทยพึงต้องร่วมกันคิด ระดมปัญญา เอาปัญญา เอากระบวนทัศน์ใหม่ไปรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ด้านการต่างประเทศและความมั่นคงให้ได้ ต้องเริ่มทำ ลองทำ และเร่งทำ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"