กกร.คาดจีดีพี 63 โต 2.5-3% อ้อนรัฐลดค่าไฟ -ประกันสังคม กระตุ้นเศรษฐกิจ


เพิ่มเพื่อน    

9 ม.ค. 2563 นายกลินท์  สารสิน  ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ที่ประกอบด้วยสภาหอฯ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)และสมาคมธนาคารไทย เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ว่า กกร.ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2563 ท่ามกลางปัจจัยกดดันหลายด้านที่ต่อเนื่องจากปีก่อนโดยเฉพาะสงครามการค้า และปัจจัยลบเพิ่มเติมกรณีความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านล่าสุด จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ปีนี้จะเติบโตได้ราว 2.5-3% การส่งออกคาดว่าจะเติบโตระดับ 0 – ติดลบ 2%  และเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 0.8-1.5% ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่อาจยืนสูงที่ระดับ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเป็นเวลา 6 เดือน

            “จีดีพีปี 2562 เราคาดการณ์ว่าเติบโต 2.5%  การส่งออกลดลง 2.5% และเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.7% ซึ่งยอมรับว่าในปี 2563 ภาพรวมก็ยังคงมีหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะที่เข้ามาเป็นปัจจัยเพิ่มขึ้นในกรณีความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่เราเองก็เกรงว่าจะทำให้ระดับราคาน้ำมันสูงขึ้น ขณะเดียวกันภาวะภัยแล้งที่รุนแรงอาจกระทบต่อแรงซื้อในประเทศจึงเห็นว่าจำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในการดูแลภาวะเศรษฐกิจ”นายกลินท์ กล่าว

            ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยบวกทั้งที่รัฐมีเร่งรัดการใช้จ่าย และมีการใช้งบประมาณไปมาก รวมถึงการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ที่ขณะนี้มีเอกชนให้ความสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะมีสัญญาณที่การลงทุนจากต่างชาติจะมีการย้ายฐานมาจากจีน ญี่ปุ่น และไต้หวันมากขึ้น และการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะยังเติบโต โดยเฉพาะท่ามกลางความตึงเครียดก็อาจจะเป็นโอกาสการท่องเที่ยว ทั้งนี้ยังส่งผลจากการค้าชายแดนที่รัฐบาลนั้นเปิดให้มีความสะดวกและสนับสนุนการค้าขายมากขึ้น

            นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานส.อ.ท. กล่าวว่า กกร.เห็นว่า ภาครัฐควรมีนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดย กกร. เสนอให้ภาครัฐดำเนินการ 4 มาตรการเพิ่มเติมดังนี้  1.ลดค่าใช้จ่าย ที่ประกอบด้วย ลดค่าไฟ ให้เฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีและบ้านพัก รวมถึงคอนโด ลงมา 5% เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจทั้งหมด , เร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ให้รวดเร็วภายในเวลา 30 วัน , ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรใหม่เพื่อการผลิตซึ่งประเทศไทยผลิตเองไม่ได้ ลงเหลือ 0% เป็นระยะเวลา 1 ปี และลดการจ่ายเงินประกันสังคมของผู้ประกันสังคม ทั้งลูกจ้าง และนายจ้าง ลง 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการ และลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินและค่าการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 50 ล้านบาทให้เป็น 0.01% เป็นระยะเวลา 1 ปี

              2.เสนอให้มีการขุดบ่อกักเก็บน้ำในรูปแบบของแก้มลิงในแต่ละหมู่บ้าน (ประมาณ 70,000 หมู่บ้าน) เพื่อช่วยแก้วิกฤติภัยแล้งในระยะยาว โดยใช้แรงงานในท้องถิ่น ทั้งนี้ หากภาครัฐสามารถจัดสรรพื้นที่ราชพัสดุที่เหมาะสมในการขุดบ่อได้ ก็จะช่วยลดเวลาในการเวนคืนได้มาก

              3. แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกเหนือจากการพัฒนาเขต EEC เช่น ภาคเหนือ (NEC) จะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหาร และCreative Economy ภาคอีสาน(NEEC) ศูนย์กลางการท่องเที่ยว อาหาร และ Logistics hub ภาคใต้ (SEC) พัฒนา ให้เป็นเมืองอัจฉริยะและท่องเที่ยว รวมถึงอุตสาหกรรมฮาลาล เป็นต้น

              4. ให้ กกร. เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพื่อปรับปรุงระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐให้คล่องตัวมากขึ้น และสนับสนุนสินค้าไทยมากขึ้น


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"