'บิ๊กโจ๊ก'รู้ใครสั่งยิง โวย3วันไร้วี่แวว กระทุ้งผบ.ตร.รับผิดชอบ


เพิ่มเพื่อน    

8 ม.ค. 63 – ที่ สน.บางรัก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เดินทางเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกรณีที่ถูกคนร้ายลอบยิงรถยนต์ได้รับความเสียหาย โดยมี  พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พร้อม พล.ต.ต.สุคุณ พรหมมายน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) และ พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก. สน.บางรัก ร่วมสอบปากคำ โดยมีสื่อมวลชนจำนวนมากเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด

ก่อนเข้าให้ปากคำ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ได้นำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการไบโอเมทริกซ์มามอบให้กับพนักงานสอบสวน ยืนยันว่าไม่ได้สร้างภาพ สร้างสถานการณ์ เพราะไม่มีมีมูลเหตุจูงใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร เพราะรถก็เสียหาย และตนเป็นผู้ถูกกระทำ ขณะเดียวกันย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อนมีเหตุคนร้ายยิงรถของนักข่าว เจ้าตัวที่เป็นนักข่าวก็รู้ว่าใครยิงขณะนี้ก็ยังจับไม่ได้ เหตุการณ์แบบนี้มันเป็นแผนประทุษกรรมเดิมๆ ที่เขารู้กันหมดแล้วว่าใครทำ

ส่วนประเด็นที่มองว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งจากโครงการไบโอเมทริกซ์นั้น มีมา 3 ผู้บัญชาการแล้ว ตนเป็นคนที่ 3 มันยังไม่เสร็จ การตรวจรับงานงวดแรกล่าช้าไปร้อยกว่าวัน งวดที่ 2 ก็ล่าช้าไปร้อยกว่าวัน งวดที่ 3 ส่งงานไม่ได้ อย่างนี้ต้องปรับ เห็นว่าเกิดความเสียหายต้องรักษาให้หน่วย เมื่อครั้งที่ตนดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้เซ็นต์หนังสือ 2 ฉบับ ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ยกเลิกโครงการดังกล่าว เปลี่ยนผู้บัญชาการมาถึง 2 คนก็ไม่แล้วเสร็จ และไม่มีใครดำเนินการยกเลิกโครงการดังกล่าว ถ้าไม่พบความผิดจริงก็ไม่เซ็นยกเลิก เพราะบริษัทคู่สัญญาจะมาฟ้องตนได้ และที่ไม่ถูกฟ้องเพราะตนทำตามหน้าที่ โดยก่อนนี้ มีคนประสานมานัดพูดคุยกับผู้ใหญ่หลายท่านหลายครั้งแต่ตนไม่ได้ไป อีกทั้งยังมี รอง ผบช. สตม.บางราย ถูกย้ายไปทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากถูกกดดันให้เซ็นตั้งกรรมการตรวจสอบวินัยกับตนเอง แต่ตำรวจนายนี้ไม่ยอมเซ็น และขอทำตามระเบียบก็ถูกย้าย ยืนยันว่าทุกขั้นตอนที่ตนดำเนินการสามารถตรวจสอบได้

“สำหรับบุคคลที่ต้องสงสัยนั้น ผมพอมีข้อมูลแต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใคร หากไม่ใช่คนมีอำนาจก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ ถ้าผมเป็น ผบ.ตร. และจับคนร้ายไม่ได้ก็ต้องออกมารับผิดชอบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และที่ผ่านมาในหลายคดีก็มีตำรวจเก่งๆ ย้ายเข้ามาสังกัดในนครบาล แต่คดีของตนเข้าสู่วันที่ 3 แล้วแต่ยังไม่มีวี่แวว จะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้อย่างไร ทั้งยังเกิดในใจกลางเมืองด้วย เมื่อตนยังเป็นตำรวจ ยังสามารถตามจับกุมคนร้ายคดีเชอรี่ฆ่าหั่นศพที่หลบหนีไปประเทศกัมพูชาได้ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุ 

ส่วนทางด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้พูดคุยอะไรกับตน ทั้งท่านก็ไม่ได้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของผู้บัญชาการปัจจุบัน สำหรับเหตุการณ์ที่มาเกิดในช่วงนี้ คาดว่าใกล้ถึงเวลาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะเรียกสอบพยานที่เกี่ยวข้องกับโครงการไบโอเมทริกซ์ พร้อมประสานมายังตนบ้าง แต่ยังไม่ระบุวัน ซึ่งพยานปากอื่นที่ไม่ได้เซ็นรับ คงไม่เสียขวัญเพราะถูกย้ายหมดแล้ว ยืนยันว่าการออกมาในครั้งนึ้ ไม่ได้ท้าชนใคร เพราะต้องการให้ความจริงปรากฎ เนื่องจากโครงการไบโอเมทริกซ์เป็นสมบัติชาติ และมีมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท  
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การที่ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไปร้องเรียนกับ ป.ป.ช.นั้นก็เป็นช่วงหลังจากตนเซ็นหนังสือเอง และไม่ได้บอกใคร ก็ถือว่าทนายตั้ม ทำหน้าที่ในภาคประชาชน อาจมีคนอาจพอใจหรือไม่ก็ได้ แต่ตนก็ต้องยึดผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติเป็นหลัก

“ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการชิงตำแหน่ง หรือกลับไปดำรงตำแหน่งกับตำรวจด้วยวิธีการแบบนี้ แม้จะอยากกลับ เพราะผมเป็นตำรวจอาชีพ กลับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอทำหน้าที่ข้าราชการให้ดีที่สุด เพราะหลังจากโดนย้ายออกก็เก็บตัวมาเป็นปี และไม่ได้ไปร้องเรียนที่ไหน รวมถึงไม่มีสื่อได้สัมภาษณ์” อดีต ผบช.สตม. กล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"