"บิ๊กตู่" ไม่กลัวปีชง แก้เคล็ดทำความดีไปวัดไหนก็ได้ เหน็บหมอดูทายผิดไปเท่าไหร่ ฝากไปถึงรัฐมนตรีใน ครม. ทำความดีเอาชนะทุกอย่าง เตือนฝ่ายค้านรัฐบาลนี้เพิ่งทำงาน 5 เดือนก็ซักฟอกเฉพาะรัฐบาลนี้ อย่าเอา ครม.เก่ามาพันกัน มันจะเสียหาย
เมื่อวันที่ 2 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2563 โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 63 รูป หน้าบริเวณสนามหญ้า ข้างตึกไทยคู่ฟ้า เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2563 ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการทำงานวันแรกของปีเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเริ่มการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นการประชุมนัดแรกของปี 2563
ทั้งนี้ ภายหลังตักบาตร?เสร็จ นายกรัฐมนตรีได้เดินสวัสดีปีใหม่คณะรัฐมนตรีทุกคน พร้อมกล่าวทักทายอย่างอารมณ์?ดี จากนั้นได้ขึ้นไปสักการะพระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้า โดยถวายผลไม้ ก่อนที่เวลา 09.09 น. นายกฯ ได้ลงมาสักการะศาลพระภูมิ?เจ้าที่ โดยได้ถวายอาหารคาวหวาน ประกอบด้วย ไข่ลูกเขย กระเพราเนื้อ ต้มกะทิสายบัว ข้าวสวย ลอดช่องน้ำกะทิ และน้ำแดง และสักการะศาลตายาย โดยถวายพะแนงหมู กระเพราเนื้อ ต้มกะทิสายบัว ข้าวสวย ซ่าหริ่มน้ำกะทิ น้ำแดง กล้วย อ้อย ข้าวตอกดอกไม้ และหมากพลู
ก่อนเป็นประธานการประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีได้อวยพรสื่อมวลชนว่า "สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีความสุข มีเงินใช้" เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าปีนี้เป็นปีชงของนายกรัฐมนตรี จะมีการแก้เคล็ดวัดไหนหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า "ทำความดีไง ถ้าทำความไม่ดีก็แก้อะไรไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องไปวัดไหน ถ้าทำความดีไปวัดไหนก็ได้"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้หมอดูหลายสำนักได้ออกมาทำนาย?ดวงเมืองปี 2563 โดยเห็นตรงกันว่าปีนี้การเมืองจะขัดแย้งหนัก แต่ผู้นำอาจยังเป็นคนเดิม ที่สำคัญความเชื่อทางโหราศาสตร์จีนยังระบุว่าปีนี้เป็นปีชงของนายกรัฐมนตรี? เนื่องจากนายกฯ เกิดปีมะเมียซึ่งชง 100 เปอร์เซ็นต์
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม.อีกครั้งว่า หมอดูก็คือหมอดู เขาก็นำสถิติมาดู ซึ่งตนไม่ดูถูก ตนเคารพอยู่แล้ว ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นตามศาสตร์ของท่าน แต่สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ใจของพวกเราทุกคน ถ้าเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและโปร่งใสตรวจสอบได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะทำให้เกิดบ้านเมืองขัดแย้ง ซึ่งอาจจะพูดแรงไปหรือไม่ที่ว่าการเมืองขัดแย้งหนักอาจถึงขั้นยุบสภา ก็ลองมาดูว่าที่ทำนายไป หมอดูแต่ละเจ้าทำนายถูกเท่าไหร่ ผิดเท่าไหร่ ก็ให้ไปดูกันเอา ตนก็ไม่อยากเอาสิ่งเหล่านี้เป็นบรรทัดฐาน
"ที่ถามว่าผมกังวลหรือไม่ ผมกังวลแล้วได้อะไรขึ้นมา ผมก็คือผม ผมเกิดมาแล้วก็เปลี่ยนวันเกิดไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมว่าไม่ใช่อยู่ที่ดวงอย่างเดียวหรอก คงเป็นเรื่องของการทำงาน เป็นเรื่องของการตั้งมั่นในการทำความดี และผมคิดว่าบุญกุศลก็อาจจะคุ้มครองเราได้บ้าง ทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ซึ่งผมก็ฝากไปถึงรัฐมนตรีใน ครม.ของผมด้วย ผมก็ผ่านมาหลายรอบแล้วปีชง ถ้าเราทำความดีด้วยหัวใจ คิดดีทำดี ความดีจะชนะทุกอย่าง และมีสติ และไม่ประมาท ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชฯ ก็ได้ประทานพรมา วาจาอันไพเราะ ยังประโยชน์สู่ความสำเร็จ เพราะฉะนั้นผมจะใช้วาจาอันไพเราะของผมกับทุกคน บางทีคิดเร็ว พูดเร็ว ทำเร็ว บางทีก็มีอารมณ์บ้างให้อภัยผมบ้างเถอะ"
อย่าซักฟอกรัฐบาลก่อน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า ขอให้มีความสุขในปีต่อๆ ไป เจอกันนานๆ ทุกวันนี้ตนได้เจอทุกคนอยู่แล้ว ทั้งในโทรทัศน์และหน้าหนังสือพิมพ์ ขอให้ช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบหน่อย ถ้าไปทำนายว่าหลังปีใหม่แล้วจะตีกัน ก็คือคิดอย่างไร พูดอย่างไร ก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าไม่คิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ไม่ชี้นำทุกอย่างก็ไม่เกิดก็เท่านั้นเอง จึงขอฝากทุกคนด้วย สวัสดีและขอบคุณทุกคน ลาทีไม่ใช่ลาก่อน
นายกฯ ยังให้สัมภาษณ์ถึงการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและ ครม. 5 คน ว่าตนไม่ได้มองว่ามีปัญหาในการทำงาน เพราะเพิ่งทำมา 5 เดือนเองใช่หรือไม่ รัฐบาลนี้ 5 เดือนนะจำไว้ รัฐบาลที่แล้วก็รัฐบาลที่แล้วสิ รัฐบาลนี้ 5 เดือน ฉะนั้นการอภิปรายครั้งนี้เป็นการอภิปรายนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีใน ครม.ชุดนี้ อย่าเอามาพันกันไปหมด มันจะเสียหายไปหมด ซึ่งจะทำให้สิ่งที่ทำไว้เสียไปด้วย ที่ทำดีๆ ไว้ก็เสียหายหมดเพราะไม่เข้าใจกัน แล้วจะทำงานกันอย่างไรต่อไป หลายอย่างรัฐบาลนี้ได้ทำในส่วนที่รัฐบาลก่อนๆ ทำไว้ดีตนก็ทำต่อ ตนไม่เคยไปว่าอะไรเขา เว้นแต่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เป็นเรื่องของกลไกกระบวนการยุติธรรมว่ากันไป จะมาเกี่ยวอะไรกับตน
“ดังนั้นอย่าเอาความไม่ชอบส่วนตัวมาว่า ประเทศชาติสำคัญกว่าอย่างอื่น ผมไม่ได้วิตกกังวลอะไรทั้งสิ้น ก็ชี้แจงไป สุดแล้วแต่ว่าวัตถุประสงค์นั้นทำไปเพื่ออะไร เราตอบได้ก็คือตอบ ก็ฟังกันบ้างในคำตอบ อย่าถามอย่างเดียวแล้วไม่ฟังคำตอบ ขอฝากประชาชนช่วยฟังคำตอบด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวกรณีไม่มีชื่ออยู่ในบุคคลที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ยังไม่รู้ว่าจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ แต่หลักการหากฝ่ายค้านจะอภิปราย ก็ควรอภิปรายเฉพาะการทำงานของรัฐบาลตลอดช่วง 5 เดือนกว่าที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ออกมาระบุว่ารัฐบาลไม่ได้มีการดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ รองนายกฯ ตอบว่า เป็นความคิดของนายธนาธร แล้วรัฐบาลจะทำอย่างไรได้ เพราะรัฐบาลยังดูแลอยู่ อีกทั้งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงดูแลมาโดยตลอดจนมีที่ทำกิน พืชผักผลไม้มีมากมาย อย่างไรก็ตาม มุมมองของรัฐบาลมองว่ารัชกาลที่ 9 ทรงทำงานตั้งแต่ท่านยังเป็นหนุ่ม ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีที่อยู่ที่อาศัย
มองว่าการลงพื้นที่ดังกล่าวเป็นการโจมตีรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะโจมตีได้อย่างไร เพราะทำงานมาแค่ 5 เดือน ก็พูดอย่างนี้แล้วกลุ่มชาติพันธุ์ก็คงเข้าใจแล้วมั้ง เพราะอธิบายไปหมดแล้ว
มท.1 พร้อมตอบคำถาม
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องดี ซึ่งถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านที่จะมีการทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาล ก็ต้องใช้วิธีในสภาในการดำเนินการเพื่อที่จะสอบถาม ซึ่งถือว่าเป็นตามขั้นตอนตามระเบียบ ทั้งนี้ ยืนยันว่าตนมีหน้าที่ที่จะตอบข้อซักถามของฝ่ายค้าน ให้ได้เข้าใจ ถึงประเด็นที่ฝ่ายค้านได้สอบถาม
นายสนธิรัตน์? สนธิจิรวงศ์? รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน? กล่าวว่า ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ?(พปชร.)? พร้อมทำหน้าที่แกนนำรัฐบาล? เพื่อตอบทุกข้อซักถามของพรรคฝ่ายค้าน พรรคร่วมรัฐบาลจึงต้องช่วยกันและจะมีการหารือร่วมกัน ตนยอมรับว่าฟากฝั่งของรัฐบาลมีความหลากหลาย แต่มีความแข็งแรงที่จะร่วมกันคิดร่วมกันทำ
ขณะที่นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองในปี 2563 ว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของรัฐบาล ภายในปี 2563 น่าจะเกิดจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่สั่งสมกันมา จนมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จากปรากฏการณ์ดังต่อไปนี้
1.การอภิปรายพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2563 ในวาระ 2 และวาระ 3 ซึ่งจะนำเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 8-9 ม.ค.2563 นี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมีการอภิปรายแปรญัตติ ถล่มงบประมาณของกระทรวงกลาโหม เพื่อดิสเครดิตกองทัพและรัฐบาล
2.การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแบบรายบุคคลของพรรคฝ่ายค้านในเดือนกุมภาพันธ์นี้ หากสามารถเปิดแผลการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลได้ หรือมีใบเสร็จแสดงหลักฐานการทุจริตได้ชัดเจน ก็จะมีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแน่นอน
3.การปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล อาจจะเกิดขึ้นก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อลดกระแสหรือตัดหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อน หรืออาจจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านแล้ว เพื่อใช้โอกาสนี้ปรับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจออกไปบ้าง แต่ทางการเมือง ถ้ารัฐบาลชุดใดปรับคณะรัฐมนตรีเกิดขึ้น ก็จะเป็นสัญญาณการนับถอยหลังทางการเมืองทันที
รัฐบาลอาจจะง่อนแง่น
4.จับตาท่าทีและความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพรรคเล็กที่รวมตัวกันมีจำนวน ส.ส.มากพอที่จะต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีได้ เช่น กลุ่มกิจสังคมใหม่ หรือพรรคเศรษฐกิจใหม่
5.เหตุการณ์การพิจารณาพิพากษาคดียุบพรรคอนาคตใหม่ และคดีอื่นๆ อีกหลายคดี หากพรรคอนาคตใหม่ถูกศาลตัดสินยุบพรรค จะต้องจับตา กลุ่มงูเห่า หรือการช้อนซื้อตัว ส.ส.เพื่อเข้าสังกัดพรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคขนาดเล็กเพื่อเพิ่มจำนวน ส.ส.ให้เท่ากับโควตารัฐมนตรี
6.การนัดชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือแฟลชม็อบ และการเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภาของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ว่าจะมีพลัง หรือสร้างแรงกดดันทางการเมืองได้หรือไม่
7.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 จะได้ข้อสรุปภายใน 180 วันตามกำหนด จะมีการแก้ไขในประเด็นใดบ้าง และจะมีแรงต่อต้านหรือสนับสนุนของมวลชนของแต่ละฝ่ายหรือไม่
8.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาปากท้องของประชาชน ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ในรอบครึ่งปี หรือในไตรมาสที่ 2 จะมีผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด
9.การเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะปีนี้ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 30 ก.ย.2563 การแต่งตั้งผู้มาดำรงตำแหน่งแทนจะมีการจัดสรรดุลอำนาจได้ลงตัวหรือไม่หรือจะเกิดแตกแยก เกิดแรงกระเพื่อมในกองทัพหรือไม่
10.การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านครั้งที่ 2 ในรอบหนึ่งปี เมื่อถึงวันนั้นเสถียรภาพรัฐบาล อาจจะง่อนแง่น มีสภาพทางการเมืองบอบช้ำมาตลอดหนึ่งปี ก็จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่พรรคฝ่ายค้านจะเผด็จศึกรัฐบาลลงได้ในการส่งท้ายปี 2563 "ตลอดปี 2563 สถานการณ์ทางการเมืองจะร้อนแรงขึ้นเป็นลำดับ รัฐบาลจะได้รับแรงเสียดทานจากปัญหาการเมืองต่างๆนานา ถ้ารัฐบาลไม่สามารถแก้เกมการเมือง หรือปลดล็อกปัญหาทางการเมืองออกไปได้ อาจจะมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะอายุของสภาผู้แทนราษฎรอยู่มาได้เกือบครบ 2 ปี ถ้าไม่มีการยุบสภาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีก็ต้องลาออก เพื่อให้รัฐสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จัดตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อบริหารประเทศต่อไป" นายเทพไทกล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |