ส.ว.ยิ้มรับฉายา รื้อรธน.ส่อยาว!


เพิ่มเพื่อน    

 "องครักษ์พิทักษ์ชวน" โต้แทน "นายหัวชวน" ไม่ได้เป็น "มีดโกนขึ้นสนิม" แต่เพราะเป็นผู้ใหญ่อาจไม่เชือดเฉือนเหมือนอดีต ยันหลักการยังหนักแน่น วางตัวเป็นกลาง ควบคุมการประชุมสภาได้เรียบร้อย ส.ว.ยอมรับ "สภาทหารเกณฑ์" อ้างช่วงเปลี่ยนผ่านต้องมี ส.ว.คอยประคับประคองบ้านเมือง ป้อง "พรเพชร-ค้อนยาง" ทำหน้าที่ได้ดีแล้ว "พีระพันธุ์" ไม่ตั้งธงแก้ รธน.อย่างเดียว ต้องตอบให้ได้ปัญหาอยู่ตรงไหน ทำไมต้องแก้ "กำนันสุเทพ" ฟันธงปี 63 ไม่มีเหตุ ปชช.ออกมาม็อบ มั่นใจ "ลุงตู่" เอาอยู่ 

    เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนรัฐสภามอบฉายาประจำปี 2563 ให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เป็น “มีดโกนขึ้นสนิม” ว่านายชวนเข้าใจบทบาทการทำหน้าที่สื่อมวลชนดี และให้เกียรติการทำหน้าที่ของสื่อ ในฐานะคนใกล้ชิดเห็นว่านายชวนยังทำหน้าที่ควบคุมสภาได้มีมาตรฐานและคุณภาพ การตัดสินใจอะไรต่างๆ ยังยึดมั่นในหลักเหตุผลตามหลักเกณฑ์กฎหมายตลอด จนทำให้บรรยากาศการประชุมสภามีคุณภาพและความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าในอดีต ถือเป็นหลักยึดทางประชาธิปไตยให้กับ ส.ส.อยู่  
    "หลักการของนายชวนยังหนักแน่นเหมือนเดิม ควบคุมการประชุมสภาให้เกิดคุณภาพ เป็นที่ศรัทธาของประชาชนได้อยู่ ไม่ได้เป็นมีดโกนขึ้นสนิมตามฉายาที่มอบให้ เพียงแต่ในเรื่องการใช้วาจาอาจจะไม่ได้เชือดเฉือนเหมือนในอดีต เป็นเพราะนายชวนมีความเป็นผู้ใหญ่ ให้ความเมตตากับ ส.ส. ไม่ใช้คารมตอบโต้ทางการเมือง เพื่อเป็นแบบอย่างในการสร้างศรัทธา สำหรับฉายาสภา ดงงูเห่านั้น เห็นว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระบบในปัจจุบันเอื้อให้เกิดงูเห่าขึ้น เพื่อให้รัฐบาลมีเสียงข้างมาก จึงมีกรรมวิธีซื้องูเห่าเกิดขึ้น แต่เป็นแค่ ส.ส.ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะ ส.ส.อีกหลายคนยังมีหลักการหนักแน่น มีแค่บางส่วนเท่านั้นที่อาจไม่หนักแน่น" นายสมบูรณ์กล่าว
    นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ไลฟ์เฟซบุ๊กว่า ปีนี้ฉายาส่วนใหญ่จะเป็นฉายาในด้านลบมากกว่าด้านบวก ที่เป็นฉายาด้านบวกน่าจะมีฉายาดาวเด่นสภาของนายปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งมีความเหมาะสม เพราะเป็น ส.ส.หน้าใหม่ มีบทบาททางการเมือง และได้แสดงบทบาทการอภิปรายหลายครั้งสร้างสรรค์ มีเหตุผลน่ารับฟัง ส่วนฉายาที่ไม่เหมาะสมคือฉายา "มีดโกนขึ้นสนิม" ของนายชวน ซึ่งไม่สอดคล้องกับบุคลิกและการทำหน้าที่ของนายชวน การให้เหตุผลว่านายชวนไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งในสภาได้เป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมเพราะความขัดแย้งในสภาเป็นเรื่องปกติทางการเมือง ไม่ใช่หน้าที่ของประธานสภาฯ คนเดียว ที่ผ่านมานายชวนได้ทำหน้าที่ประธานสภาฯ ได้ดีที่สุด วางตัวเป็นกลาง ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายจนเป็นที่ยอมรับของสมาชิกรัฐสภาทุกคน สภาชุดนี้มีความเรียบร้อย สามารถกู้ภาพลักษณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติได้ การแก้ปัญหาสภาล่มเป็นหน้าที่ของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่หน้าที่ของประธานสภาโดยตรง
    "การตั้งฉายาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฉายาขนมจีนไร้น้ำยา ดาวดับ คู่ขัดแย้งแห่งปี ถือว่ามีความเหมาะสม เพราะการตั้งฉายาเปรียบเสมือนกระจกเงา ภาพสะท้อนการทำงานของนักการเมืองทุกคนในรัฐสภา ผมก็ลุ้นกับการตั้งฉายาของผู้สื่อข่าวในปีนี้เหมือนกันเพราะกลัวว่าจะโดนตั้งฉายาด้วย เมื่อไม่มีฉายาก็ทำให้โล่งอก สบายใจยิ่งขึ้น การตั้งฉายาไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ เชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาทุกคนยอมรับได้" นายเทพไทกล่าว  
    นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงกรณีสื่อมวลชนรัฐสภามอบฉายาให้วุฒิสภาเป็น "สภาทหารเกณฑ์" ว่า ส.ว.ไม่ได้คิดมากอะไร ให้เกียรติการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ถือเป็นกระจกเงาในการพิจารณาตัวเอง เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงาน ซึ่งฉายาสภาทหารเกณฑ์ ถ้ามองในแง่ข้อเท็จจริงก็สามารถคิดได้เช่นนั้นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ ส.ว.หลายคนปัจจุบันมาจาก สนช.ที่เป็นทหาร แต่ต้องดูความจำเป็นของบ้านเมืองประกอบด้วย เพราะรัฐบาลจะต้องมีมือมีเท้าช่วยขับเคลื่อนการทำงาน มิเช่นนั้นจะทำงานลำบาก  ซึ่ง ส.ว.มีจิตใจเป็นประชาธิปไตยจึงไม่กังวลกับฉายาดังกล่าว
    "ส่วนฉายานายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาว่าค้อนยางนั้น ต้องยอมรับว่านายพรเพชรเป็นนักกฎหมายใจดี เพิ่งผ่านประสบการณ์คุม สนช.เป็นครั้งแรก พอต้องมาคุมรัฐสภาที่มีทั้งส.ส.และ ส.ว. จึงต่างกันลิบลับกับสมัยที่เป็น สนช. ฉายาที่สื่อรัฐสภามอบให้บวกกับเสียงสะท้อนจาก ส.ว.หลายคน จะทำให้นายพรเพชรเข้มงวดข้อบังคับการประชุมมากขึ้นในการประชุมรัฐสภาครั้งต่อไปโดยไม่เกรงใจใครได้ดีขึ้น" นายกิตติศักดิ์กล่าว
    นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ส.ว. กล่าวว่า ไม่เหนือความคาดหมายกับฉายาสภาทหารเกณฑ์ คิดไว้อยู่แล้ว ยังไงต้องมีคำเกี่ยวกับทหารอยู่ ดูแล้วฉายาที่มอบให้ก็ถูก ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะส.ว.มีทหารอยู่จำนวนมาก แต่ถือเป็นความจำเป็นในช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศที่ต้องมี ส.ว.คอยช่วยประคับประคองบ้านเมือง ส่วนฉายาค้อนยางนั้น ดูแล้วน่าเห็นใจนายพรเพชร ต้องยอมรับว่านายพรเพชรเพิ่งเป็นประธานประชุมรัฐสภาครั้งแรก มาประกบกับนายชวน และเจอกับ ส.ส.ส่วนหนึ่งที่ไม่ชอบ ส.ว. จึงเกิดการลองของขึ้น ทำให้กระทบกับบทบาทการทำหน้าที่ประธานที่ประชุม นายพรเพชรทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด แล้วสไตล์การทำงานเป็นแบบนี้ ใจดี เรียบร้อย คงปรับเปลี่ยนไม่ได้ แต่เชื่อว่าเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นจะสามารถรับมือกับ ส.ส.ได้ดีขึ้น 
ตอบให้ได้แก้ รธน.ทำไม
     นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 60 กล่าวว่า แนวทางพรรคชาติไทยพัฒนามีอยู่แล้ว เบื้องต้นเสนอให้แก้ไขมาตรา 256 ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมเพื่อเปิดทางแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ง่ายขึ้น ประเด็นต่อไปถึงไปดูเนื้อใน เพราะในปัจจุบันจะแก้ไขแทบไม่ได้เลย เพราะถ้าแก้ไม่ได้ทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย ทางต่อไปก็จะไปดูเนื้อในเน้นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนก่อน และที่สำคัญต้องเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ส่วนจะเป็นรูปแบบสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)หรือไม่ค่อยไปดูกัน แต่ความเห็นส่วนตัวจะให้เหมือน ส.ส.ร.เลยอาจไม่ได้ เพราะเวลาและสถานการณ์ต่างกัน ส่วนเรื่องระยะเวลาแก้ไขเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง เพราะต้องทราบกรอบการแก้ไขก่อน 
    นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เป็นเรื่องสำคัญ ถือเป็นเรื่องหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลด้วย เมื่อมีกรรมาธิการและมีตัวแทนจากหลายพรรคเข้าไปแล้ว ก็ต้องทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง สิ่งหนึ่งที่กรรมาธิการควรรับฟังคือเสียงของนอกสภา นักวิชาการ นักธุรกิจ ต่างประเทศ พี่น้องประชาชน เกษตรกร รากหญ้า เขามีความกังวลหรือมีความรู้สึกอย่างไรบ้างว่ารัฐธรรมนูญนี้ควรตบแต่งแก้ไข ในประเด็นไหน ถ้าสามารถที่จะมีเวทีรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมจากคนนอก กมธ.ได้ก็คิดว่าจะทำให้ กมธ.ได้ข้อมูลมากขึ้น และทำให้ผลการศึกษาจะสมบูรณ์ทำให้รู้ว่าจะนับหนึ่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปอย่างไร ส่วนวุฒิสภาจะยอมรับและสนับสนุนหรือไม่ขึ้นอยู่กับการยอมรับหากชี้ให้เห็นว่าจำเป็น ถ้าแก้ไขอันนี้แล้วประเทศชาติจะดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้นก็เชื่อว่า ส.ว.ทุกคนต่างรับฟังข้อเท็จจริงและเหตุผล 
     ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ประธาน กมธ.พิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมวันที่ 14 ม.ค.2563 ซึ่งจะเป็นการประชุมเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญและอาจพิจารณาข้อเสนอให้แก้ไขมาตรา 256 ว่าด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ และการตั้งส.ส.ร. ว่าการพิจารณามาตราดังกล่าวได้อยู่ในญัตติที่จะต้องพิจารณาอยู่แล้ว ซึ่งในฐานะประธาน กมธ.ได้เตรียมแนวทางการหารือการพิจารณาโดยจะให้ กมธ.แสดงความคิดเห็นกันก่อนจากนั้นก็นำความคิดเห็นต่างๆ มาประมวลเพื่อเป็นกรอบในการพิจารณาศึกษา ซึ่งจะเป็นกรอบการพิจารณาที่มาจากความคิดเห็นของทุกคน 
    เมื่อถามว่า นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ฝากถึง กมธ.ชุดนี้ให้ศึกษาอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า แน่นอนว่าจะต้องศึกษากันอย่างจริงจัง เท่าที่พูดคุยกัน กมธ.ก็จะต้องดูการแก้ไข รธน.ว่ามีปัญหาเรื่องอะไรบ้าง ใช่ปัญหาที่แท้จริงที่ควรจะนำมาสู่การแก้ไขใช่หรือไม่ หากเป็นปัญหาก็ต้องคิดว่าจะแก้ไขอย่างไร ดังนั้น กมธ.แต่ละท่านจะต้องพูดกันให้ชัดว่าตรงนั้นตรงนี้เป็นปัญหาอย่างไร เกิดขึ้นอย่างไร แล้วคนอื่นเห็นด้วยหรือไม่ รวมถึงเปิดให้แต่ละท่านได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ไม่ใช่คิดว่าจะแก้ก็จะแก้อย่างเดียว โดยไม่รู้ปัญหาอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ต้องตอบให้ได้ว่าทำไมต้องแก้ ต้องคุยกันก่อนว่าอะไรบ้างที่ควรแก้ไขบ้าง ต้องรู้ที่มาที่ไปกันก่อน ไม่ใช่จะแก้เลย โดยไม่รู้จะแก้อย่างไร เพราะอะไร
    "ยืนยัน กมธ.จะต้องฟังเสียงนอกสภาด้วย ได้กำชับไปยัง กมธ.ทุกท่านแล้วว่าจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นเพราะเราทำเพื่อประชาชน ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเราเอง ต้องรับฟังทุกเสียงจากทุกภาคส่วนในฐานะที่เป็นคนไทย ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม เพราะรัฐธรรมนูญเป็นของคนไทยทุกคน" นายพีระพันธุ์กล่าว
"กำนันสุเทพ"เชื่อ"ลุงตู่"เอาอยู่
     นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกและกรรมการคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจัดเตรียมข้อมูลไว้พร้อมมาก มอบหมายผู้ที่จะอภิปรายทำการบ้านอย่างละเอียด งานนี้ไม่รอดแน่ เอาเฉพาะผู้ที่ได้เห็นข้อมูลที่จะใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ต่างคิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำกันถึงเพียงนี้ในประเทศนี้ ยืนยันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มีใบเสร็จ ถึงขั้นต้องไปโหวตเลือกนายกฯ กันใหม่ รัฐบาลไปสำรวจตัวเองให้ดีว่าให้ใครไปทำอะไรไม่ชอบมาพากล ไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหนบ้าง ทำให้คนทำธุรกิจโปร่งใส ตรงไปตรงมาเสียหาย กรรมออนไลน์กำลังจะมาเยือนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ 
    นายนคร มาฉิม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า กระแสเบื่อนายกฯ แพร่ระบาด ลุกลาม รวดเร็วในหมู่ประชาชน จนเกิดความหวาดหวั่นของระบอบเผด็จการทั้งโครงสร้าง การแสดงสีหน้าเบื่อ พล.อ.ประยุทธ์ของสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่หมอชิต จึงเป็นปรากฏการณ์ยอดภูเขาน้ำแข็งที่เริ่มปรากฏ อันจะเป็นจุดเริ่มต้นต่อการพลังทลายลงของรัฐบาลประยุทธ์ในอีกไม่ช้านี้ ทางที่ดี เพื่อทำคุณไถ่โทษ ยอมสำนึกผิดที่ได้กระทำต่อประชาชนก่อนที่ประชาชนจะเบื่อถึงขีดสุดแล้วลุกขึ้นมาขับไล่พวกคุณ การลาออกของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดของประชาชนและของประเทศไทย ในเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2563
    นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2563 ที่บางกลุ่มประกาศจะจัดการชุมนุมตั้งแต่ต้นปีว่า อยากชวนประชาชนชาวไทยมองโลกในแง่ดี เราต่างมีประสบการณ์ในทางการเมืองกันมามากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เราทุกคนต้องช่วยกันทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวโดยกลุ่มใดก็ตาม เชื่อว่าหน้าที่ของพวกเราคนไทยคือการทำงานถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการทำงานให้กับแผ่นดิน ตนยังเชื่อมั่นว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่ทำงานเพื่อชาติและประชาชนได้สำเร็จในระดับที่ประชาชนทั้งหลายจะเกิดความพึงพอใจ 
    "ผมไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์ร้อนแรง การชุมนุมของประชาชนเพื่อเรียกร้องสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าทำอยู่ในกรอบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็มีสิทธิ์ทำได้ การชุมนุมต้องเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีการก่อเหตุอะไร ส่วนประชาชนจะออกมาร่วมด้วยหรือไม่นั้น อยู่ที่ผู้จัดการชุมนุมมีวัตถุประสงค์อะไร ถ้าเขาต้องการเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ประชาชนคงไม่มาร่วมด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นว่ามีอะไรที่เป็นประเด็นความเดือดร้อนของประชาชน ที่ถึงขั้นจำเป็นต้องนำคนออกมาชุมนุม ยังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลน่าจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประชาชนได้" นายสุเทพกล่าว.  
     


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"