สื่อมวลชนรัฐสภาตั้งฉายาสภา "ดงงูเห่า" เหตุ รธน.ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ ส.ส.คอยแว้งฉกกันเอง วุฒิสภากลายเป็น "สภาทหารเกณฑ์" ถูก คสช.เกณฑ์เข้ามาสานต่องานให้จบ "ชวน" พลิกกลับเป็น "มีดโกนขึ้นสนิม" ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งในสภาได้ ผู้นำฝ่ายค้านแค่ "ขนมจีนไร้น้ำยา" ขณะที่ "ปารีณา-เสรีพิศุทธ์" คู่กัดแห่งปี "ปิยบุตร" คว้าตำแหน่ง "ดาวสภา" แต่ไม่มีผู้เหมาะสมเป็นคนดีศรีสภา "สุทิน" โวด้านดีสภายุคนี้พัฒนากว่าเดิม ป้อง "สมพงษ์" เป็นคนสุภาพ "อนุทิน" ยัน "ศรีนวล" ไม่ใช่งูเห่า วอนอย่าขยายความขัดแย้ง
เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม หลังจากที่เว้นวรรคการตั้งฉายารัฐสภาไปเป็นเวลาประมาณ 5 ปี มาในปี 2562 สื่อมวลชนประจำรัฐสภาได้มีความเห็นร่วมกันที่จะตั้งฉายาสภาอีกครั้ง ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติในรอบปีที่ผ่านมา โดยไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในทางการเมืองแต่อย่างใด
สำหรับฉายาสภาที่สื่อมวลชนได้ระดมสมองออกมานั้นมีบทสรุป ดังนี้ 1.เหตุการณ์แห่งปี "สภาล่ม" เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง 2 วันติดต่อกัน ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย.และ 28 พ.ย. ระหว่างการพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 ปฐมเหตุเริ่มมาจากการที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตให้กับฝ่ายค้าน ซึ่งจะต้องนำมาสู่การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แต่ปรากฏว่า ส.ส.รัฐบาลใช้เสียงข้างมากจนนำมาสู่การนับคะแนนใหม่ โดยก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนดังกล่าวจะต้องมีการนับองค์ประชุมก่อน ทว่ามี ส.ส.ร่วมเป็นองค์ประชุม 92 คน แม้จะมีการนัดประชุมอีกครั้งในวันถัดไป แต่ก็ยังมี ส.ส.เพียง 240 คนไม่ครบองค์ประชุม นับเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียให้กับสภาในยุคของ 'ชวน หลีกภัย' ที่พยายามจะยกระดับมาตรฐานของสภาให้กลับมาเป็นความหวังของประชาชน
2.สภาผู้แทนราษฎร : "ดงงูเห่า" การหายไปของสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลากว่า 5 ปี ทำให้สภาถูกตั้งความหวังไว้ว่าจะสามารถเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนสมดั่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยได้ แต่จะด้วยผลกระทบจากรัฐธรรมนูญที่ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพหรือเป็นนิสัยส่วนบุคคล ถึงได้เป็นช่องทางที่ทำให้ปรากฏการณ์ที่เรียกว่างูเห่า ไม่ว่าจะเป็นการประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านอิสระเพื่อตรวจสอบรัฐบาล แต่เมื่อผ่านไปสักระยะก็ยุติการเป็นฝ่ายค้านอิสระ ไปจนถึงการลงคะแนนสวนทางกลับมติของพรรคร่วมฝ่ายค้านหลายครั้ง ทั้งการพิจารณาพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพล ไปจนถึงการร่วมเป็นองค์ประชุมสภาก่อนจะลงมติล้มไม่ให้เกิดการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรา 44 ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งตราบใดรัฐบาลยังมีเสียงปริ่มน้ำและต้องยืมมือฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ สภาคงไม่อาจเป็นที่พึ่งของประชาชนให้สมดังเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ แต่จะเป็นเพียงดงงูเห่าที่คอยแว้งฉกกันเองเท่านั้น
3.วุฒิสภา : "สภาทหารเกณฑ์" รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้มีวุฒิสภาแบบพิเศษขึ้นมา กล่าวคือ แม้รัฐธรรมนูญจะหมวดว่าด้วยวุฒิสภาที่ให้มีการลงคะแนนเลือกกันเองจากบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ แต่ใน 5 ปีแรกกลับให้ ส.ว.มาจากการเลือกของ คสช. รวมกับผู้บัญชาเหล่าทัพโดยตำแหน่งเป็นจำนวน 250 คน ไม่เพียงเท่านี้ ส.ว.ชุดปัจจุบันจำนวนไม่น้อยมาจากบุคคลที่เคยเป็นสมาชิก สนช.ที่ คสช.เคยแต่งตั้งอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้ส.ว.เปรียบเสมือนเป็นทหารที่ถูก คสช.เกณฑ์เข้ามา ที่ไม่เพียงแต่มีหน้าที่ในระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรกเท่านั้น แต่ยังอีกภารกิจคือการสานต่องานของ คสช.ให้จบ โดยเริ่มให้เห็นแล้วจากการพร้อมใจเทคะแนนเลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ และในอนาคตกำลังจะมีหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญเป็นภารกิจต่อไป
มีดโกนขึ้นสนิม-ค้อนยาง
4.ประธานสภาผู้แทนราษฎร : "มีดโกนขึ้นสนิม" 'ชวน หลีกภัย' ประธานสภาผู้แทนราษฎร ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในตำนานการเมืองที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน โดยเป็น ส.ส.ที่มีพรรษาทางการเมืองมากที่สุด และมีบารมีเต็มเปี่ยมจนได้กลับเข้ามาเป็นประธานสภาฯ อีกครั้ง แม้จะมีความตั้งใจจะให้ประชาชนกลับมาศรัทธาสภา แต่เอาเข้าจริงมีดโกนอาบน้ำผึ้งที่เคยบาดลึกแหลมคมกำลังขึ้นสนิมอย่างเห็นได้ชัด ภายหลังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสภาได้ เช่น การวินิจฉัยเรื่องการนับคะแนนใหม่ในญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรา 44 จนนำมาสู่เหตุการณ์สภาล่ม ไปจนถึงการพยายามลอยตัวกับปัญหาต่างๆ อย่างความขัดแย้งในคณะกรรมาธิการสามัญหลายคณะ ทั้งๆ ที่เป็นผู้นำสูงสุดของสภา อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นมีดโกนขึ้นสนิมที่อาจฟันอะไรไม่ขาดเสียทีเดียว แต่หากใครได้โดนแล้วแน่นอนว่ายังต้องรู้สึกเจ็บและต้องรีบฉีดยากันบาดทะยัก เพราะวาจาของนายหัวเมืองตรังยังเจ็บจี๊ดไม่เคยเปลี่ยนแปลง
5.ประธานวุฒิสภา : "ค้อนยาง" เป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนจะขึ้นมาเป็นประธานวุฒิสภา 'พรเพชร วิชิตชลชัย' เคยดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาก่อน ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เมื่อมาทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภา ปฏิเสธไม่ได้ว่าบทบาทและอำนาจหน้าที่ที่เคยมีนั้นได้เลือนหายไป ตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้สมาชิกรัฐสภาไม่ยำเกรงในบารมีของประธานวุฒิสภา ดังจะเห็นได้จากการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณานโยบายของคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เพราะปรากฏว่าทุกครั้งที่ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมในฐานะรองประธานรัฐสภา จะถูก ส.ส.ลองของจนควบคุมการประชุมไม่ได้ โดยเฉพาะการปะทะคารมกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนำมาซึ่งความวุ่นวายกลางที่ประชุม แม้ประธานวุฒิสภาจะพยายามใช้ค้อนทุบบนโต๊ะเพื่อหวังให้เกิดความสงบ แต่กลับได้ผลตรงข้าม จึงเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นว่าค้อนไม้ที่ถือไว้ในมือนั้นเป็นเพียงแค่ค้อนยางเท่านั้น
6.ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร : "ขนมจีนไร้น้ำยา" 'สมพงษ์ อมรวิวัฒน์' ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านฯ ในภาวะที่ฝ่ายค้านไม่ได้เป็นลูกไล่รัฐบาลเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะมีเสียงในสภาที่สูสีกับฝ่ายรัฐบาล ถึงขนาดที่ฝ่ายค้านเคยโหวตชนะฝ่ายรัฐบาลมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของ คสช.ตามมาตรา 44 ทว่าฝ่ายค้านยังไม่อาจแสดงศักยภาพในการตรวจสอบรัฐบาลให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อเทียบกับผู้นำฝ่ายค้านฯ ในอดีตหลายคนก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังไม่ปรากฏบทบาทการเป็นผู้นำเพื่อให้การทำงานของสภาเกิดความสมานฉันท์และเป็นที่จดจำ จึงไม่ต่างอะไรกับขนมจีนที่ดูน่ารับประทาน แต่เมื่อไร้น้ำยารสเลิศแล้วก็ทำให้ขนมจีนจานนั้นไม่ได้อยู่ในสายตา
"ปารีณา-เสรีฯ"คู่กัดแห่งปี
7.วาทะแห่งปี : "ตัดพี่ตัดน้อง" วาทะนี้เป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่พูดกลางที่ประชุมรัฐสภาระหว่างการนำเสนอนโยบายของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ก.ค. เพื่อแก้ข้อกล่าวหาเรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งโดยไม่สุจริตของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย โดย พล.อ.ประยุทธ์ตอบโต้ว่า “เรารู้จักกันมานาน ท่านเป็นรุ่นพี่ผม แต่งงานวันเดียวกัน แต่วันนี้ไม่ถือว่าเป็นรุ่นพี่อีกแล้ว เพราะท่านไม่เกียรติผม เคยพูดว่าจะชักปืนยิงผม ถ้ายิงจริง ท่านก็ติดคุกไปแล้ว ท่านพูดจาหยาบคาย เหรียญรามาฯ ผมก็ได้ แต่ไม่เคยอวดอ้างอำนาจ ให้ไปทบทวนตัวเอง” จากการตัดพี่ตัดน้องในวันนั้นทำให้ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านทวีความดุเดือดนับจากนั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน
8.คู่กัดแห่งปี : ปารีณา VS พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสองคนนี้เป็นมวยถูกคู่ แม้ว่าจะต่างวัยกันก็ตาม 'ปารีณา ไกรคุปต์' ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ถูกพรรคส่งมาเป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบที่มี 'พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส' ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เป็นประธาน เพื่อปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ภายหลัง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์พยายามเชิญนายกฯ มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ แต่ปารีณาพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง ถึงขั้นมีการผลัดกันยื่นเรื่องให้ตรวจสอบกันเองภายในคณะกรรมาธิการจนงานอื่นๆ ของคณะกรรมาธิการเดินหน้าไม่ได้และกรรมาธิการหลายคนทยอยลาออก เพราะไม่ต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง ดังนั้น การปะฉะดะของ ส.ส.สาวและอดีตนายตำรวจ จึงมีแต่เพียงการวิวาทะเท่านั้น หาแก่นสารไม่ได้แต่อย่างใด
9.ดาวเด่น : ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ จากคนที่เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนอกสภา แล้ววันหนึ่งก็ได้เดินเข้าสภาในนามพรรคอนาคตใหม่ เหตุผลหลักที่ทำให้ “อาจารย์ป๊อก” ได้รับตำแหน่งดังกล่าวคือ การเปิดประเด็นเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ไม่ครบถ้อยคำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นประเด็นที่สังคมแสวงหาความชัดเจนจากรัฐบาลมาร่วมเดือน จนนำมาสู่การเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่เพียงเท่านี้ตลอดการทำหน้าที่อภิปรายในสภาไม่ได้ใช้แต่เพียงวาทศิลป์เท่านั้น เพราะทุกถ้อยคำล้วนมีเหตุผลทางวิชาการและกฎหมายรองรับ จึงทำให้คว้าตำแหน่งนี้ไปอย่างลอยลำด้วยความหวังว่าเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่จะสามารถรักษามาตรฐานที่วางไว้ไปให้ตลอด
10.ดาวดับ : ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เมื่อมีดาวเด่นก็ต้องมีดาวดับ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นคือ เอ๋ ปารีณา เป็นที่ทราบกันดีว่า ส.ส.เมืองโอ่งรายนี้ได้สร้างกระแสในแง่ลบผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์เป็นระยะ แม้จะแสดงบทบาทในการตรวจสอบการถือครองที่ดินของมารดานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แต่กลับเป็นคนที่ไม่ยอมรับการตรวจสอบเสียเองในเรื่องการถือครองที่ดินที่ จ.ราชบุรี ทั้งๆ ที่มีตำแหน่งเป็นกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งทุกครั้งที่ถูกผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความโปร่งใส กลับพยายามบ่ายเบี่ยงหลายครั้ง ถึงขนาดที่กล่าวอ้างว่าได้ทำเอ็มโอยูกับนักข่าวที่จะยุติการสัมภาษณ์เรื่องนี้แล้ว โดยไม่มีหลักฐาน จึงไม่แปลกที่สื่อมวลชนได้เทคะแนนให้กับปารีณาด้วยความหวังจะมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในอนาคต
11.คนดีศรีสภา : ไม่มีผู้เหมาะสม
ป้อม"ลุงสมพงษ์"คนสุภาพ
ด้านนายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน และ ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการตั้งฉายารัฐสภาว่า ได้เห็นฉายาสภาที่สื่อได้มีการตั้งแล้ว ฉายาสภา ดงงูเห่า เห็นว่าหากพูดในแง่หนึ่งก็เหมาะสมอยู่ เพราะมีเรื่องอื้อฉาวเรื่องงูเห่าอยู่ แต่ด้านดีก็มีคือน่าจะพูดว่า งูเห่าในดงผู้ดี เนื่องจากสภามีการพัฒนาขึ้นกว่าเดิม เช่น พฤติกรรมในการทะเลาะ โต้เถียง เล่นนอกลู่นอกทางน้อยกว่าทุกยุค ที่มีการขว้างแฟ้ม ลากเก้าอี้ประธาน แต่คราวนี้ไม่วุ่นวาย ประนีประนอมกันอยู่ แต่ยอมรับว่างูเห่าก็เป็นภาพหนึ่งของสภา เหตุการณ์แห่งปี ที่ยกเรื่องสภาล่มมานั้น เห็นว่าก็เป็นเรื่องเป็นเหตุการณ์เด่นของสภา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการคุมเสียงของฝ่ายรัฐบาลที่ทำไม่ได้ เพราะถ้ารัฐบาลเข้มแข็ง มีความแข็งแกร่ง มีความรับผิดชอบ ก็ไม่เกิดเหตุการณ์สภาล่ม ไม่เกิดฉายานี้
"ฉายาของวุฒิสภาที่มองว่าเป็นสภาทหารเกณฑ์นั้น ก็มีส่วนถูก ไม่ว่าจะเป็นทหารเกณฑ์หรือพลทหารก็จะมีความหมายเดียวกัน คนเข้าใจได้ว่าเป็นสภาที่คล้ายกับว่าเป็นเด็กที่สั่งได้ทุกอย่าง เช่น การเลือกนายกฯ ก็ยกมือกันพรึ่บ ฉายาที่สะท้อนได้พอสมควร ส่วนประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่มองว่าเป็นมีดโกนขึ้นสนิม ก็มีส่วนถูก แต่ส่วนตัวมองว่าขึ้นสนิมไม่พอ แต่เป็นเรื่องของการตกยุคมากกว่า เพราะท่านจะย้ำคิดย้ำทำ จ้ำจี้จ้ำไชในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ก็เข้าใจอยู่ เพราะความรับผิดชอบของท่านสูง ด้านดีท่านมีเยอะ แต่ถ้าจะเอาด้านลบก็มองว่าไม่เพียงแค่ขึ้นสนิม เพราะสมัยนี้เขาใช้เลเซอร์กันแล้ว ท่านก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนให้ทันยุคทันสมัย"
ส่วนฉายาประธานวุฒิสภาที่บอกว่าเป็นค้อนยางนั้น นายสุทิน มองว่า มีส่วนถูกมีความสัมพันธ์กับฉายาทหารเกณฑ์ คือมีเรื่องอะไรก็ผ่านให้ได้ตลอด ส่วนฉายาผู้นำฝ่ายค้านที่ว่าขนมจีนไร้น้ำยา มองว่าอาจไม่ถูกเสียทั้งหมด เพราะท่านเป็นคนสุภาพ ปล่อยบทบาทให้คนในพรรคได้ทำหน้าที่บ้าง เช่น พวกตนเป็นต้น นายสมพงษ์ ทำหน้าที่กำกับทิศทางได้ดีอยู่ อาจจะเป็นขนมจีนท่วมน้ำยา หรือน้ำยาน้อยไปนิด แต่ว่ายังมีน้ำยาอยู่เพียงแต่เส้นมันอาจจะเยอะ เนื่องด้วยท่านไม่ค่อยแสดงออก เพราะด้วยบุคลิกเป็นคนอย่างนั้นเอง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไม่ขอแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์สำหรับฉายาที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาให้ว่า "สภาดงงูเห่า" เพราะส่วนตัวเห็นว่าไม่มีใครเป็นงูเห่า ส่วน น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ ก็ไม่ถือว่าเป็นงูเห่า เพราะถูกต้นสังกัดขับออก และพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ไปดึงตัวมา โดยยังไม่ทราบว่าขณะนี้ น.ส.ศรีนวลได้สมัครเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทยแล้วหรือไม่ เนื่องจากต้องมีขั้นตอนตามกฎหมาย
"ขออย่าขยายความขัดแย้ง หรือพูดเพื่อเกิดความเกลียดชังระหว่างกัน ส่วนที่เห็นไม่ตรงกันในเรื่องของประเทศชาติ ก็ขอให้ลืม แล้วเริ่มต้นสู่ปีใหม่ไปด้วยกัน ทั้งนี้ หาก ส.ส.ได้รับกำลังใจจากประชาชน ก็จะมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ซึ่งอะไรที่ดีขอให้สนับสนุน ส่วนสิ่งที่ไม่ดีก็ขอให้ตรวจสอบ หากทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างมืออาชีพ ความขัดแย้งทุกอย่างก็จะหมดไป ส่วนคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ หากเป็นผลจากการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ก็ต้องยอมรับแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข" นายอนุทินกล่าว
ส่วนฉายาคนดีศรีสภา ที่ไม่มีบุคคลใดในสภาเหมาะสมนั้น นายอนุทินกล่าวว่า ขอเป็นคนกลางๆ ก็พอ หากดีเกินไปก็ต้องระวัง ต้องเดินทางสายกลาง เพราะคนเราต้องมีดีบ้าง เคี่ยวบ้าง ความดีคือการตั้งใจทำงาน รักพี่น้องประชาชน ดังนั้น อย่าไปทำอะไรที่ทำลายบ้านเมืองหรือการเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง เพราะการทำงานทุกอย่างต้องแยกแยะให้ได้
"ส่วนตัวไม่รู้สึกงอนสื่อมวลชนประจำรัฐสภาที่ตั้งฉายาดังกล่าวขอน้อมรับทุกคำวิพากษ์วิจารณ์ เพราะถือเป็นคำแนะนำที่ต้องนำมาปรับปรุง และมองเป็นบวกเพื่อไม่ให้เสียกำลังใจในการทำงาน" นายอนุทินกล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |