25 ธ.ค. 2562 นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะขยายตัวได้ 2.8% แม้จะมากกว่าปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.5% แต่ยังอยู่ระดับต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งยังไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยต้องอยู่ที่ 3.5-4% เพราะส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก การค้าโลกชะลอตัว รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย ทำให้ต้องช่วยกันปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เช่น การปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ล้าสมัย ไม่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และเป็นอุปสรรค เพื่อเอื้อให้ภาคธุรกิจได้ปรับตัว ซึ่งถ้าทำได้ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีกว่าศักยภาพ
นอกจากนี้ยังต้องปฏิรูปในด้านการศึกษา ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานไทย โดยการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพิ่มเติม นโยบายด้านการแข่งขันให้เท่าเทียมระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่ รายกลางและรายย่อย เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมมากขึ้น และรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวยังกระทบกับการจ้างงานที่ลดลง ทำให้นายจ้างลดระยะเวลาทำงาน ลดโอที ส่งผลให้รายได้ลดลงกระทบต่อการใช้จ่ายในประเทศ
สำหรับในปี 2563 บทบาทภาครัฐจะเป็นแรงส่งสำคัญในการขยายตัวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะงบประมาณปี 2563 ที่คาดว่าจะเบิกจ่ายได้ในช่วงไตรมาส 1/2563 ซึ่งจะทำให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่กลับมามีทิศทางดีขึ้น และมองว่าบรรยากาศสงครามการค้าจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้นกว่าปีนี้ คาดว่าการส่งออกของไทยจะติดลบ 3-4% ปีนี้ และปีหน้าคาดจะเป็นบวกได้
“ในปีหน้าแม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะดีกว่าปีนี้ แต่ยังโตต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งยังขยายตัวได้เมื่อเทียบกับช่วงต้มยำกุ้งที่ตอนนั้นติดลบถึง 7-8% แต่ไม่ควรพอใจ ต้องช่วยกันเปลี่ยน ไม่ใช่พูดวาทะกรรมเผาจริงเผาหลอก แต่ปีหน้าอยากให้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะทำได้เฉพาะจุดมากกว่า ส่วนนโยบายการเงินเหมือนเป็นนโยบายแบบเหวี่ยงแห และหากดำเนินการต้องใช้เวลาส่งผลไปยังสถาบันการเงินซึ่งใช้เวลานานกว่า แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ก็พร้อมใช้เครื่องมือในการดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติมหากจำเป็น” นายวิรไท กล่าว
นายวิรไท กล่าวอีกว่า เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการ และนักลงทุนไม่ควรวางใจ เนื่องจากในปีหน้าค่าเงินจะเคลื่อนไหว 2 ทิศทาง คือ ทั้งอ่อนค่า และแข็งค่า โดยยังมีหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบ ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องเร่งทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่เสมอ แต่ช่วงที่ผ่านมายังมีการทำกันน้อย หรือทำช่วงเวลาเดียวกัน ยิ่งทำให้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงิน
อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นผลจากสงครามการค้า การส่งออกของไทยแม้จะติดลบแต่ยังน้อยกว่าหลายประเทศ รวมถึงการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงถึง 35,000 ล้านดอลลาร์ แต่ในปีหน้าคาดว่าจะเกินดุล 30,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมองไทยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ธปท.ต้องติดตามสถานการณ์อยู่เสมอ และได้ส่งสัญญาณว่าไม่ประสงค์ที่จะให้พักเงิน หรือเก็งกำไรในช่วงสั้นๆ ทำให้มีเงินไหลออกไปบ้างในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งมีการเข้าซื้อสกุลเงินต่างประเทศบ้าง เพื่อลดการแข็งค่าของเงินบาท แต่ทำมากไม่ได้ เพราะจะถูกมองเป็นประเทศบิดเบือนค่าเงิน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |