25 ธ.ค. 2562 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือและมอบนโยบายด้านเศรษฐกิจ ว่า ได้เรียกผู้บริหารกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภาคเอกชน อาทิ คณะกรรมการ่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.), ผู้บริหารธนาคารรัฐ และผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มาหารือเพื่อหาแนวทางในการดูแลเศรษฐกิจปี 2563 ที่ยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ทำให้ขยายตัวชะลอลง โดยเฉพาะการดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยจะมีแนวทางให้ความช่วยเหลืออย่างรอบด้าน ซึ่งจะสรุปออกมาเป็นแพคเกจเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่

สำหรับแนวทางเกี่ยวกับมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี แบ่งเป็น 2 โดยกลุ่มแรก คือผู้ประกอบการที่เจอปัญหา หรือได้รับผลกระทบรุนแรง ต้องมีมาตรการช่วยให้อยู่รอด และกลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่ยังมีสถานะดี ยังดำเนินธุรกิจได้ แต่ก็ต้องมีมาตรการเข้าไปดูแลป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต โดยเบื้องต้นได้มอบหมายให้ทางสถาบันการเงินไปหารือถึงแนวทางการปล่อยสินเชื่อแบบผ่อนปรน การดึงเงินจากกองทุนเอสเอ็มอี วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อมาช่วยเหลือ รวมถึงการลดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมถึงให้ทางบรรษัทค้ำประกันสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม (บสย.) และเครดิตบูโรเข้ามาช่วยอีกทางหนึ่งด้วย

นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือถึงแนวทางในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตและเสียดอกเบี้ยในอัตราสูง ว่าจะผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยอย่างไรเพื่อบรรเทาภาระของประชาชนให้ลดลง ขณะที่มาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์นั้น ธปท. ยังไม่ได้พูดเรื่องการปลดล็อก แต่ได้ให้ไปดูว่าจะผ่อนปรนอย่างไร ไม่ใช่หลับหูหลับตาผ่อนปรน แต่ต้องไปดูแต่พองาม ทุกอย่างถึงจะไปด้วยกันได้

"ตอนนี้ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รัฐบาล กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และภาคเอกชน จำเป็นต้องมาร่วมหารือเพื่อถกให้ลงไปถึงรายละเอียด เพื่อให้เอสเอ็มอีได้ประโยชน์สูงสุดในยามเศรษฐกิจโลกไม่ดี ถ้าตกผลึกทันจะให้เสนอมาตรการช่วยเหลือเหล่านี้เป็นแพคเกจให้ ครม. พิจารณาหลังปีใหม่" นายสมคิด กล่าว

นายสมคิด กล่าวอีกว่า กรณีที่มี ธปท. และเอกชน ประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2563 จะขยายตัวได้ไม่ถึง 3% นั้น ส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจไทยต้องก้าวข้ามตัวเลขเปอร์เซ็นต์การเติบโตได้แล้ว ไม่จำเป็นว่าตัวเลขจะขยายตัวได้มากแล้วเศรษฐกิจไทยจะดีจริง ต้องยอมรับว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยแข็งแรงพอสมควร แม้จะมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง แต่ก็ยังเป็นการชะลอที่เป็นบวกอยู่

"ถ้าจะให้ตัวเลขขยายตัวได้สูง ๆ วันนี้ต้องมาดูว่าทำได้ไหม และต้องทำอย่างไร เพื่อให้ในอนาคตข้างหน้าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3-4% และต้องเป็นการเติบโตที่ดีและยั่งยืน ประเทศไทยมีของดีอยู่ ก็อยากให้ทุกฝ่ายมองภาพต่าง ๆ ในแง่บวก ถ้ายังมองโลกในแง่ไม่ดี ก็จะมองเศรษฐกิจไทยไม่ดีไปด้วย ส่วนนักลงทุนจะเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยปีหน้าหรือไม่ หากตัวเลขเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ไม่ถึง 3% นั้น คงต้องไปถามหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล" นายสมคิด กล่าว

นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง กล่าวว่า ที่ประชุมได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อดูแลในส่วนนี้โดยเฉพาะ ซึ่งผมจะทำหน้าที่ดูแลเอง เพื่อหารือกับทุกภาคส่วนในการอกมาตรการเพื่อเสนอให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบในต้นปีหน้า

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เมื่อภาครัฐมีนโยบายต่าง ๆ ออกมา ธนาคารพาณิชย์ซึ่งถือเป็นกลไกของระบบเศรษฐกิจของประเทศ ก็พร้อมจะช่วยกันแก้ปัญหา ซึ่งจะมีการหารือในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดทิศทางการทำงานและมาตรการร่วมกัน

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเคยแย่กว่านี้ แต่ก็กลับมาฟื้นตัวได้ ดังนั้นจึงมั่นใจว่าถ้าภาครัฐลงมาช่วยเอกชนแบบนี้ มีการพูดคุยหารือกันเพื่อสร้างความเข้าใจ มีการช่วยเหลือกัน และหลายปัจจัยในปัจจุบันก็เริ่มฉายแววว่าจะเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งการปล่อยสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย การจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ และหากภาคเอสเอ็มอีได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกต้องก็จะเห็นภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น