"ไรมอนแลนด์"จัดทัพธุรกิจสู่เป้าหมายหมื่นล้าน


เพิ่มเพื่อน    

หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ประเทศไทยมานาน 12 ปี อย่าง "บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน)" กำลังเตรียมเน็กสเต็ปเพื่อทำแผนงานในช่วง 5 ปีนับจากนี้ ท่ามกลางโจทย์ของความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้น และมุมมองในเชิงลบที่หลายคนคาดการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เมื่อมีความท้าทายหลายอย่างเข้ามาเช่นนี้ ไรมอน แลนด์ จึงต้องหากลยุทธ์เพื่อทำให้สามารถสร้างรายได้และขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับไรมอน แลนด์ ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปี 2547 โดยพัฒนาโครงการเสร็จไปแล้ว 17 โครงการ อันได้แก่ โครงการในกรุงเทพฯ คือ โครงการ 185 ราชดำริ, เดอะ ดิโพลแมท 39, เดอะ ดิโพลแมท สาทร, เดอะริเวอร์, เดอะ ลอฟท์ อโศก, เดอะ ลอฟท์ เย็นอากาศ, เดอะ ลีเจนด์ ศาลาแดง, เดอะเลค, เดอะ ลอฟท์ สาทร, เดอะ ลอฟท์ เอกมัย และมิวส์ เย็นอากาศ - โครงการในพัทยา คือ โครงการ ยูนิกซ์ เซาท์ พัทยา, ซาร์ย วงศ์อมาตย์, นอร์ทพอยท์ และนอร์ทชอร์ คอนโดมิเนียม - โครงการในจังหวัดภูเก็ต คือ เดอะไฮท์ ภูเก็ต และกะตะการ์เด้นท์

พร้อมกันนี้ ปัจจุบันบริษัทกำลังดำเนินการพัฒนาโครงการจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ เดอะ ลอฟท์ สีลม ก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2563 โดยในปี 2561 ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวขายโครงการ ดิ เอสเทลล์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2565 และโครงการเทตต์ เทวลฟ์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2565 และ One City Centre อาคารสำนักงานเกรดเอให้เช่า บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองบนถนนเพลินจิต รวมถึงแคลพสัน เดอะ ริเวอร์ เรสซิเด้นท์ ที่ให้บริการเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ คอมมูนิตี้ มอลล์ วิว ศูนย์จัดงานอีเวนต์ เดอะ คิวบ์ อาคารสำนักงานสเปซ 48 และร้านอาหารบ้านหญิง ณ ประเทศสิงคโปร์

ทุ่มงบขยายโครงการใหม่

        ไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วง 2-3 ปีนี้ คาดการณ์ว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ ครอบคลุมไปถึงการขยายสาขาธุรกิจอาหาร ทั้งร้านบ้านหญิง และ DINK DINK ในต่างประเทศ

        บริษัทวางแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมราคาขายตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยจะเปิดตัวโครงการใหม่ปีละ 1-2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปีหน้า 2563 จะเปิดตัวคอนโดมิเนียม 1-2 โครงการในกรุงเทพฯ ทำเลสุขุมวิท ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ทั้ง 2 แห่ง โดยหนึ่งในนั้นเป็นโครงการคอนเซ็ปต์ใหม่ คือ คอนโดมิเนียม สุขุมวิท 38 เป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น มูลค่า 8.2 พันล้านบาท ส่วนอีก 1 โครงการยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลสุขุมวิทตอนกลาง ปัจจุบันบริษัทได้เจรจาซื้อที่ดินแล้ว และเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการ เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถพร้อมเปิดตัวได้ในปีหน้าหรือไม่

เตรียมลุยตลาดต่างประเทศ

        ขณะเดียวกัน บริษัทยังเตรียมที่จะขยายการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมในต่างประเทศในปี 2563 ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรในต่างประเทศ นับเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเปิดโอกาสให้บริษัทขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศได้มากขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยของบริษัทให้มากขึ้น

        ทั้งนี้ อีกทั้งยังเพิ่มช่องทางการขายในต่างประเทศจากการเปิดโชว์รูมเริ่มจากสิงคโปร์ ที่ได้เปิดโชว์รูมขายโครงการ The Estelle พร้อมพงษ์ ในช่วงแรก และจะนำโครงการ The Loft ราชเทวีมาขายที่โชว์รูมดังกล่าวต่อไป รวมทั้งวางแผนจะเปิดโชว์รูมในประเทศจีนในปี 2563 ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าของบริษัทจะแบ่งเป็นลูกค้าชาวไทย 50% และลูกค้าชาวต่างชาติ 50% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในเอเชีย

        ปัจจุบันมีนักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจและเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยและศูนย์อสังหาริมทรัพย์ พบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีลูกค้าต่างชาติซื้อโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกปี และแม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ปริมณฑลยังถูกมองว่ามีความผันผวน แต่โครงการของบริษัทยังคงได้รับการตอบรับที่ดี เพราะอสังหาริมทรัพย์มีระดับราคาที่น่าสนใจไม่สูงมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

        จากปัจจัยดังกล่าวบริษัทจึงเปิดสำนักงานขายของโครงการ The Estelle Phrom Phong ที่สิงคโปร์ เพื่อขยายฐานลูกค้าและให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง โดยหลังจากที่สำนักงานขายเปิดอย่างเป็นทางการได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า

เป้าหมายใหญ่สู่หมื่นล้าน

        ด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ หลังจากบริษัทได้เริ่มพัฒนาโครงการอาคารสำนักงาน One City Centre เพลินจิต มูลค่า 8.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 5.5 พันล้านบาท และค่าเช่าที่ดิน 3.3 พันล้านบาท โดยมีพื้นที่เช่า 61,000 ตารางเมตรไปแล้วนั้น ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เตรียมจะลงทุนพัฒนาอาคารสำนักงานอีก 1 แห่ง พื้นที่เช่า 6 หมื่นตารางเมตร ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และจะทำให้พื้นที่เช่าของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ตารางเมตรภายในปี 2563 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

        โดยธุรกิจโรงแรมมีแผนพัฒนาเพิ่ม 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โรงแรม KITCH Hotel ตั้งอยู่ด้านหน้าคอนโดมิเนียม เดอะ ริเวอร์ เจริญนคร จำนวนห้องพัก 72 ห้อง ราคาห้องพัก 1,400-1,600 บาท/คืน เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563 และจะมีการลงทุนโรงแรมอีก 1 แห่ง ทำเลสุขุมวิท จำนวนห้องพัก 220 ห้อง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2566 ตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปี จะมีห้องพักรวม 1,000 ห้อง

        ส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในเครือร้านอาหารบ้านหญิง บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มขึ้น โดยเน้นในภูมิภาคเอเชียเป็นหลักในช่วงแรก ปัจจุบันได้มีการขยายสาขาร้านอาหารบ้านหญิง และร้าน DINK DINK ไปแล้วในประเทศสิงคโปร์ แบรนด์ละ 1 สาขา ส่วนในปี 63 มีแผนขยายสาขาเข้าไปในไต้หวันและจีน โดยที่ร้านบ้านหญิงจะตั้งสาขาในไต้หวัน และเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีน ขณะที่ร้าน Dink Dink จะตั้งสาขาที่ไต้หวันก่อนเพื่อทดลองตลาด ก่อนจะขยายไปยังจีนต่อไป เน้นประเทศและหัวเมืองแหล่งทำงานและท่องเที่ยวเป็นหลัก

        อย่างไรก็ดี บริษัทมองหาโอกาสในการขยายสาขาร้านอาหารบ้านหญิง และ DINK DINK เข้าไปในยุโรปและสหรัฐ  แต่อยู่ระหว่างการแผนงานและต้องมองไปถึงอนาคตระยะยาว เพราะต้องการเน้นการขยายสาขาในเอเชียให้ครอบคลุมและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีก่อน ซึ่งการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารจะเข้าไปร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิตและการทางอาหารของคนชาตินั้นๆ เป็นอย่างดี และทำให้สามารถเลือกสรรเมนูและรสชาติของอาหารที่นำมาขายได้อย่างเหมาะสมในแต่ละประเทศ และการลงทุนจะใช้ระยะเวลาในการคืนทุน 2 ปี

        “การลงทุนตามแผนที่วางไว้จะช่วยสนับสนุนการกระจายรายได้ของบริษัทให้มีความเหมาะสม โดยในช่วง 5 ปี จะมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากรายได้ประจำเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30% ของรายได้รวมที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ประจำจะมาจากธุรกิจอาคารสำนักงาน 1 พันล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 1 พันล้านบาท และธุรกิจอาหาร 1 พันล้านบาท จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ประจำไม่ถึง 10% ขณะที่รายได้ของธุรกิจพัฒนาและขายที่อยู่อาศัยจะปรับลดลงมาที่ 70% ปัจจุบันมีสัดส่วนสูงกว่า 90%”.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"