สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติถอดถอน "โดนัลด์ ทรัมป์" พ้นตำแหน่งประธานาธิบดีตามคาดเมื่อวันพุธ ด้วยข้อกล่าวหาใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและขัดขวางกระบวนการไต่สวนของสภา เตรียมส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาลงมติเดือนหน้า แต่โอกาสแทบเป็นศูนย์เพราะ ส.ว.รีพับลิกันครองเสียงส่วนใหญ่
ข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562 กล่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ 243 ปี ที่โดนสภาผู้แทนราษฎรลงมติถอดถอนพ้นจากตำแหน่ง แต่ 2 คนก่อนหน้านี้คือประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน ปี 2532 และประธานาธิบดีบิล คลินตัน ปี 2541 ล้วนรอดการลงมติของวุฒิสภามาได้และดำรงตำแหน่งต่อจนครบวาระ
สภาล่างของสหรัฐอภิปรายโต้เถียงกันนาน 10 ชั่วโมง ก่อนจะลงมติเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา โดยเสียงส่วนใหญ่ในสภา ซึ่งเดโมแครตครองที่นั่งข้างมาก ให้ความเห็นชอบข้อกล่าวหาเพื่อถอดถอนทั้ง 2 ข้อหา โดยข้อหาแรก การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบนั้นได้คะแนนเห็นชอบ 230 ต่อเสียงคัดค้าน 197 คะแนน ส่วนข้อที่ 2 ขัดขวางกระบวนการไต่สวนของสภาคองเกรส ผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนน 229 ต่อ 198 คะแนน ส.ส.รีพับลิกันลงมติคัดค้านทั้ง 2 ข้อหา ในขณะที่เดโมแครต มี ส.ส. 2 คนคือ คอลลิน ปีเตอร์สัน และเจฟฟ์ ฟาน ดริว ลงมติคัดค้านทั้ง 2 ข้อหา ส่วนจาเร็ด โกลเดน ส.ส.เดโมแครตอีกคนคัดค้านข้อหาที่ 2 และ ส.ส.ทุลซี กับบาร์ด งดออกเสียง
นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ พรรคเดโมแครต กล่าวว่า พวกเขา "ไม่มีทางเลือก" นอกจากตั้งข้อกล่าวหาทรัมป์อย่างเป็นทางการ
ขั้นตอนต่อไป สภาล่างจะส่งให้สภาสูงไต่สวนข้อกล่าวหาเหล่านี้ การลงมติจะต้องใช้เสียงข้างมาก 2 ใน 3 ของสมาชิกวุฒิสภา 100 ที่นั่ง ซึ่งหมายความว่าต้องมี ส.ว.รีพับลิกันอย่างน้อย 20 คนแปรพักตร์มาร่วมโหวตให้เดโมแครตเพื่อถอดถอนทรัมป์ แต่ถึงบัดนี้ไม่มี ส.ว.รีพับลิกันคนได้แสดงเจตจำนงเช่นนั้น และ ส.ว.มิตช์ แม็กคอนเนลล์ แกนนำ ส.ว.รีพับลิกันเสียงข้างมาก ทำนายว่า "ไม่มีโอกาส" ที่วุฒิสภาจะถอดถอนทรัมป์
ประธานาธิบดีทรัมป์วัย 73 ปี ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดีโดยมิชอบ ด้วยการกดดันให้รัฐบาลยูเครนเปิดการสอบสวนอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน คู่แข่งทางการเมืองของเขา ที่เป็นตัวเก็งแคนดิเดตชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีในฐานะตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งปลายปี 2563 รวมถึงให้ลดความน่าเชื่อถือของทฤษฎีที่ว่ารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐปี 2559 โดยโยนให้เป็นเดโมแครตสมคบกับยูเครนแทรกแซงการเลือกตั้งครั้งนั้นแทน
ข้อกล่าวหามาจากการเปิดโปงคำสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม หรือ 3 เดือนภายหลังเซเลนสกีชนะเลือกตั้ง โดยทรัมป์ขอให้ผู้นำยูเครนช่วยสอบสวนไบเดน และฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายที่นั่งเก้าอี้ในบอร์ดบริหารของบูริสมา บริษัทพลังงานยูเครน ช่วงที่ไบเดนเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐ โดยทรัมป์กล่าวหาอย่างไม่มีหลักฐานว่าทั้งคู่คอร์รัปชัน
เดโมแครตกล่าวว่า ทรัมป์ระงับการอนุมัติความช่วยเหลือทางทหาร 391 ล้านดอลลาร์แก่ยูเครน และใช้การประชุมสุดยอดที่ทำเนียบขาวเป็นข้อต่อรองเพื่อให้เซเลนสกีเข้ามาก้าวก่ายการเลือกตั้งสหรัฐด้วยการสาดโคลนไบเดน
ต่อมาภายหลังสภาผู้แทนราษฎรเปิดการไต่สวน ทรัมป์ยังมีคำสั่งห้ามเจ้าหน้าที่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือปฏิบัติตามหมายเรียกเข้าให้การและส่งเอกสารแก่สภา ซึ่งนำไปสู่การตั้งข้อกล่าวหาที่สองว่าทรัมป์ขัดขวางกระบวนการไต่สวนของสภา
ทรัมป์ยืนกรานโดยตลอดว่าเขาไม่ได้ทำผิด และประณามกระบวนการอิมพีชเมนต์โดยเพโลซีเมื่อเดือนกันยายนว่าเป็น "การล่าแม่มด" และ "การก่อรัฐประหาร" ระหว่างที่สภาล่างเตรียมลงมติเมื่อวันพุธ ทรัมป์ไปหาเสียงเลือกตั้งเพื่อรักษาเก้าอี้ประธานาธิบดีปลายปีหน้าที่เมืองแบตเทิลครีก รัฐมิชิแกน กล่าวโจมตีเดโมแครตว่าเป็นพวกซ้ายจัดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เดโมแครตกำลังพยายามทำให้บัตรลงคะแนนของชาวอเมริกันผู้รักชาติหลายสิบล้านคนกลายเป็นโมฆะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |