17ธ.ค.62- น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ ส่งข้อความชี้แจงผ่านกลุ่มไลน์สื่อมวลชนพรรคเพื่อชาติ ว่า จากกรณีที่ดิฉันออกมาให้ข่าวเรื่องผ้าอนามัย อันดับแรก ดิฉันขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจที่พูดถึงประเด็นนี้ ว่าไม่ได้ต้องการเล่นเรื่องนี้เป็นดราม่าหรือโจมตีรัฐบาล ดิฉันทำหน้าที่ในฐานะเป็นนักการเมือง เป็นปากเสียงประชาชน ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง โดยคิดว่าผู้หญิงควรได้ราคาผ้าอนามัยที่ถูกกว่านี้ เพราะปัจจุบันในหลายประเทศได้มีการผ่านกฎหมายยกเลิกภาษีผ้าอนามัยแล้ว
นอกจากนี้ ยังเป็นการท้วงติงไปยังรัฐบาล เพื่อพิจารณาเปลี่ยนหมวดหมู่ของผ้าอนามัยไปอยู่ในเวชภัณฑ์ หรือหมวดที่เหมาะสมมากกว่าหมวดเครื่องสำอาง เพราะไม่อยากให้ประชาชนต้องแบกรับภาระที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ รวมถึงถือว่าเป็นการช่วยให้สังคมช่วยกันจับตาในประเด็นนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของผ้าอนามัย ที่เป็นสินค้าที่จัดอยู่ในหมวดของเครื่องสำอาง ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย สามารถมีเพดานภาษีได้ถึง 40% นั้น ซึ่งในส่วนนี้ดิฉันไม่ได้ก้าวล่วงไปบอกว่ารัฐได้จัดเก็บภาษีในส่วนตรงนี้แล้ว เพียงแต่แสดงความเป็นห่วงว่า เพดานภาษีที่ 40% สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยนั้นเป็นปลายเปิดทางช่องกฎหมายที่สำคัญ พ.ร.ก.ควบคุมราคา 2562 มีอายุความเพียง 1 ปี ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะหมดแล้ว
ทั้งนี้ ในหลายประเทศยังมีการเรียกร้องให้ ผ้าอนามัยเป็นสินค้าปลอดภาษี หรือ Tax Free เนื่องจากผ้าอนามัยถือเป็นสินค้าที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้หญิง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงค่ำเมื่อวานนี้ (16 ธ.ค.) น.ส.เกศปรียา ก็ส่งข้อความชี้แจงผ่านกลุ่มไลน์สื่อมวลชนพรรคเพื่อชาติ ว่า ประเด็นผ้าอนามัยเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยจากมติ ครม. วันที่ 17 เมษายน 2561 ดิฉันดูตามเอกสารจากเว็บ http://www.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER7/DRAWER100/GENERAL/DATA0000/00000302.PDF ซึ่งสรุปสาระสำคัญของการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 หมวดกฏหมาย ข้อ 4 ระบุว่า ... ร่างกฏกระทรวงกำหนดผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอาง พ.ศ. ...
เครื่องสำอางจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ดังนั้นผ้าอนามัยแบบสอดจึงถูกจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งในความคิดของดิฉันผ้าอนามัยทุกชนิดไม่ควรถูกกำหนดให้เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตของสตรีทั้งโลก ดิฉันจึงออกมาตั้งข้อสังเกตถึงประเด็นข่าวในวันนี้ เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ และเพื่อป้องกันไม่ให้ผ้าอนามัยชนิดอื่นๆ ถูกกำหนดเป็นเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่จะสร้างภาระให้กับสตรีไทยทั้งประเทศ
แม้จะมีการชี้แจงว่า ผ้าอนามัย ถูกระบุใน พ.ร.ก. ว่าเป็นสินค้าควบคุม แต่การที่ระบุว่าผ้าอนามัยแบบสอดก็ยังไม่ถูกปลดออกจากสินค้าประเภทเครื่องสำอางซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย อีกทั้ง พ.ร.ก. ดังกล่าว ยังมีผลบังคับใช่เพียง 1 ปี เท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วควรทำให้เป็นสินค้าควบคุมถาวร
ดิฉันให้ข้อมูลข่าวประเด็นนี้ในฐานะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ก็อยากจะถามแทนสตรีทั้งประเทศเพื่อให้ได้คำชี้แจงจากทางรัฐบาลว่า ทำไมถึงได้มีมติ ครม. อนุมัติเรื่องแบบนี้ ซึ่งถือเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นสำหรับสตรี.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |