นายกฯ เชิญชวน “วิ่งเพื่อแผ่นดิน" ตามรอย “วีรกรรมสงครามเก้าทัพ” เย้ย “วิ่งไล่ลุง” ไร้สาระ แนะไล่ความคิดตนเองดีกว่าจะได้ความรู้ตั้งกระทู้ซักฟอก "บิ๊กป๊อก-โฆษก กห." ปรามลงถนนวิ่งไล่ลุงคิดให้ดี สุ่มเสี่ยง แนะใช้กลไกสภาแก้ปัญหา สภา รวม 6 ญัตติตั้ง กมธ.ศึกษาแก้ไข รธน. "ปิยบุตร" นำถล่มรธน.60 ฝังระบบรัฐประหารใน รธน.รองรับอำนาจ คสช.ถึงชาติหน้า ซัดพวกขวางแก้ รธน.ทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง ยิ่งไม่แก้ยิ่งวุ่นวาย
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 11 ธันวาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการจัดงาน Trail Running “วิ่งเพื่อแผ่นดิน” ตามรอยสงครามเก้าทัพ ในอุทยานประวัติศาสตร์ สงคราม 9 ทัพ จ.กาญจนบุรี ภายใต้ชื่อ SIAM TRAIL 2019 ระหว่าง 13-15 ธ.ค.นี้ ว่าเรื่องสำคัญที่อยากให้ทุกคนสนใจคือนโยบายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งมีการจัดงานวิ่งเพื่อแผ่นดินตามรอยสงครามเก้าทัพ เป็นการสร้างการตื่นตัวให้ออกกำลังกาย กระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สร้างความรักธรรมชาติ เสริมความเข้าใจ ปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติ โดยจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มีกิจกรรมวิ่งทั้งหมด 6 ระยะ ระยะที่หนึ่ง 52 กม. สำหรับนักวิ่งมืออาชีพ ซึ่งมีนักวิ่งจากต่างประเทศให้ความสนใจกันมาก, ระยะที่สอง 36 กม. พวกชอบความท้าทาย เคยวิ่งเทรลมาแล้วหลายสนาม, ระยะที่สาม 17 กม. สำหรับผู้ที่วิ่งเทรลแล้วและวิ่งบนถนน, ระยะที่สี่ 13 กม. สำหรับมือใหม่ อยากทดลองวิ่ง, ระยะที่ห้า 5 กม. สำหรับผู้ที่เริ่มต้นออกกำลังกาย, ระยะที่หก 3 กม. สำหรับครอบครัว เด็ก ผู้สูงอายุ ที่สนใจเข้าร่วม ซึ่งตนน่าจะอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะอายุ 60 กว่าแล้ว พอวิ่งได้
นอกจากการวิ่งแล้วยังมีกิจกรรมในงาน เพราะจัดถึง 3 วัน ผู้ร่วมงานฟรี มีนิทรรศการมัลติมีเดียสมบูรณ์แบบของอุทยานประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพ วันละ 3 รอบ รอบละ 100 คน ยังมีกิจกรรมสร้างฝายกั้นน้ำ ให้จิตอาสาสร้างฝายขึ้นใหม่จำนวน 20 ฝาย ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ มีการจัดตลาดประชารัฐให้ผู้ค้าในท้องถิ่นมาร่วมค้าขายในบรรยากาศย้อนอดีตจำลองบรรยากาศเมืองโบราณหมู่บ้านวัฒนธรรมไทยทรงดำ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวพื้นเมือง ที่อาศัยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไฮไลต์คือการแสดงแสงสีเสียง สื่อผสม วีรกรรมศึกสงครามเก้าทัพ ผู้ร่วมงานจะได้ชมความอลังการด้วยสเปเชียลเอฟเฟ็กต์จากทีมงานสร้างผู้เชี่ยวชาญ โดยรัฐบาลให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นแกนนำจัด มีทหาร บุคลากร แพทย์ พยาบาลช่วยดูแล ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
"ขอให้ทุกคนช่วยกันวิ่งเพื่อแผ่นดิน เรื่องวิ่งไล่ตาม วิ่งตาม วิ่งไล่ลุง ไร้สาระ เยอะ ไม่เกิดประโยชน์"
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงกิจกรรมวิ่งไล่ลุงหรือไม่ว่าจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นมา นายกฯ กล่าวว่า “ไม่ห่วง การวิ่งไล่ผม มันไม่ได้อะไรเท่าไหร่" เมื่อถามว่าการวิ่งไล่ลุงไม่ได้ใช้ชื่อวิ่งไล่นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การวิ่งไล่ลุงมันคือใคร เขาคงมุ่งหมายอย่างนั้น ในส่วนของตนคือไล่ความคิดของตนแล้วกันว่าทำอะไรอยู่ในตอนนี้ คิดอะไรทำอย่างไร เอาตัวอย่างเอาแบบบทเรียนมาจากไหน จากใคร แล้วตนนำมาประยุกต์อย่างไร ไล่ตนแบบนี้ให้ทัน ตนอ่านหนังสืออะไรมาบ้าง จะได้เป็นความรู้ในการที่จะมาซักฟอกกัน แล้วมาสอบถามตั้งกระทู้
"บางทีมันต้องมีความมุ่งหมาย ไม่ใช่เพื่อจะมุ่งให้ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันเสียมากเกินไป หลายอย่างมันต้องเดินหน้าประเทศ และวันนี้เศรษฐกิจก็มีปัญหา ทุกคนก็ทราบดี สิ่งสำคัญที่สุดคือความมีเสถียรภาพของรัฐบาล ถ้าเราขยายความขัดแย้งไปเรื่อยๆ ความมั่นคง เสถียรภาพหายไปแล้วจะอยู่กันอย่างไร"
เตือนลงถนนวิ่งไล่ลุงสุ่มเสี่ยง
เมื่อถามว่า ฝ่ายความมั่นคงต้องพิจารณากิจกรรมวิ่งไล่ลุงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เขาต้องมีแผนงานอยู่แล้วในการที่จะบังคับใช้กฎหมาย ก็จบแค่นั้น กฎหมายก็คือกฎหมาย ถ้าเราไม่ยึดถือกฎหมายเลยสักตัว ทำอะไรไม่ได้ เจ้าหน้าที่ก็ลำบากใจ ถึงเวลาเขาก็มีคดีด้วย เขาก็คงไม่มีใครอยากทำ เมื่อถึงเวลานั้น ประเทศชาติจะไร้ขื่อแป แล้วจะทำอย่างไร
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ การจัดกิจกรรม "วิ่งเพื่อประชาธิปไตย" ของพรรคอนาคตใหม่ ว่า เราเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาตลอด คือการไปเคลื่อนไหวนอกสภา เกิดขึ้นมากับทุกสี คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องไปทำเช่นนั้น และมองว่ายังไม่ถึงเวลา จะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงเกิดความสับสนในหมู่ประชาชน เพราะกิจกรรมดังกล่าวเข้าข่ายการให้ข้อมูลด้านเดียวกับประชาชนจะทำให้เกิดทัศนคติที่ไม่ดี ทั้งที่การแก้ไขปัญหาทางการเมืองเรามีสภาในการดำเนินการอยู่แล้ว จึงอยากให้ใช้กลไกลของสภาในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ การที่จะลงถนนต้องคิดให้ดี การให้ข้อมูลประชาชนต้องทำให้ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่ไปให้ด้านเดียว เพราะจะไม่ส่งผลดีบ้านเมือง เราเคยประสบปัญหาเหล่านี้มาแล้ว
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มการเมืองจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ในวันที่ 12 ม.ค.2563 ว่า ถ้าเป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพ หรือเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อสังคม ถือเป็นเรื่องดี ในส่วนของรัฐบาลโดยกระทรวงกลาโหมได้จัดกิจกรรมวิ่ง “Siam Trail 2019” ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ สามารถพาครอบครัวไปวิ่งหรือทำกิจกรรมได้ ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งไล่หรือวิ่งตามใคร ส่วนกิจกรรมวิ่งอย่างอื่นต้องดูวัตถุประสงค์วิ่งเพื่ออะไร มีการเมืองแอบแฝงหรือไม่ ขอให้สังคมไตร่ตรองใคร่ครวญดูให้ดี อย่าเอาแต่กระแส เพราะสิ่งที่ทำต้องเป็นประโยชน์กับส่วนรวม บ้านเมืองต้องเดินหน้าต่อไป การเคลื่อนไหวหรือการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์ โดยเฉพาะหากมีการเมืองสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม การทำงานของนักประชาธิปไตย คือการทำงานในสภา ก็ควรใช้กลไกสภาในการพูดคุยกัน
สำหรับกระแสข่าวปรับ ครม. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "กุข่าวขึ้นมาเองหรือเปล่า อย่ากุข่าวๆ ไม่ได้พูดอะไร สื่อแหละปล่อย ฉันจำได้ฉันไม่เคยพูด แล้วใครพูด แสดงว่ามีคนพูดแล้วสื่อไปขยายต่อ ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้น ส่วนใครจะไป ใครจะมา ก็เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่ต้องหารือกัน และสุดท้ายผมจะเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะผมเป็นผู้นำรัฐบาล วันนี้เพิ่งเข้ามาทำงาน 3-4 เดือนเอง แผนงานและโครงการต่างๆ"
"วันนี้ก็ใช้เงินไปอย่างประหยัดที่สุด ยังไม่มีปัญหาอะไร คงต้องรอดูหลังจากที่เรามี พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2563 เรียบร้อยแล้ว และถ้าการพิจารณาผ่านวาระ 2 และ 3 เรียบร้อย และเงินสามารถใช้ได้ ก็ต้องไปดูว่าโครงการต่างๆ มีประสิทธิภาพหรือไม่ แล้วถึงจะไปถึงหลักการในการปรับ ครม." พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวดึง ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่เข้าร่วมรัฐบาลหลังช่วยโหวตหนุนในสภาว่า สื่อก็ช่วยไปดึงมาหน่อย แม้เขาจะช่วยโหวตให้รัฐบาลแต่ตนไม่ทราบว่าเขาจะมาหรือไม่ คงต้องไปถามเขา ตนไม่ได้ประสานติดต่อพูดคุยกับ ส.ส.เศรษฐกิจใหม่ที่โหวตให้ ส่วนกระแสข่าวปรับ ครม. นายกฯ ยืนยันแล้วว่ายังไม่ปรับ
พปชร.แบะท่ารับ"พีระพันธุ์"
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรคพปชร. กล่าวว่า ต้องขอบคุณพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่ได้ช่วยให้การประชุมสภาผ่านพ้นไปด้วยดี เชื่อว่าเป็นการแสดงความตั้งใจที่จะช่วยกันทำให้การดำเนินงานของสภาเดินไปได้ แต่ไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่านั้น พรรคเศรษฐกิจใหม่เองก็ยืนยันแล้วว่ายังเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านอยู่ แต่ได้ทำงานโดยหลักการเท่านั้น
ส่วนกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และมีกระแสข่าวว่าจะมาอยู่กับพรรค พปชร.นั้น นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ไม่ทราบ และนายพีระพันธุ์ก็ไม่ได้บอกอะไร คงต้องรอ ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นในพรรค ปชป.นั้น สื่อควรไปสอบถามจาก ปชป. แต่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล เราคงให้กำลังใจ เรื่องความคิดเห็นที่แตกต่างภายในพรรคการเมืองนั้น มีกันทุกพรรคเป็นเรื่องปกติ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการปรับ ครม. ภายหลัง ส.ส.พรรค ปชป.ทยอยลาออกว่า คงไม่ใช่ เพราะส่วนตัวได้ถามผู้บริหารระดับสูงแล้ว โดยยืนยันว่าไม่ได้จะเอาพรรคอื่นมาแทนพรรค ปชป.ใน ครม. รวมถึงยังไม่ปรับ ครม.ตอนนี้ เพราะทุกอย่างยังไปได้ ส่วนการลาออกของ ส.ส.บางราย ก็เป็นบัญชีรายชื่อ ซึ่งมีการเลื่อนคนอื่นมาตามลำดับอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถือเป็นเรื่องภายใน ผู้บริหารก็ต้องคุยกันตลอด
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการชักชวนนายพีระพันธุ์มาร่วมทำงานกับพรรค พปชร. แต่หากพูดถึงแนวทางในทางการเมือง นายพีระพันธุ์มีแนวทางตั้งใจทำงานแก้ไขปัญหาประเทศ ซึ่งตรงกับแนวทางที่พวกเรามีกันอยู่แล้ว และเป็นคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลายคนที่อยู่ในพรรค พปชร. เพราะพวกเรามาจากพรรค ปชป. อุดมการณ์ก็ใกล้เคียงกัน ต้องให้เวลานายพีระพันธุ์ ตัดสินใจ อย่างที่ท่านบอกว่าขอเวลาพักผ่อนก่อน
"คนที่ทำการเมืองมานาน มีความคุ้นเคยการเมือง ตั้งใจทำงานให้ประเทศ โดยเฉพาะการผลักดันและแก้ไขกฎหมาย เป็นคนหนึ่งที่เราอยากทำงานด้วยกัน อยากให้อยู่ในวงการการเมืองนานๆ ยิ่งมีความสามารถและเข้าใจบริบทของกรุงเทพมหานคร ก็เป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันต่อไป" นายณัฏฐพลกล่าว
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ และรองหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวถึงกรณี ส.ส.ปชป.ทยอยลาออกจากพรรคว่า คนที่ออกไปก็คงไปหาความก้าวหน้า ไม่งั้นจะออกทำไม และน่าจะมีเรื่องการเสนออะไรกัน แต่มั่นใจว่าจะไม่มีใครลาออกจากพรรคหรือแตกแถวอีกแล้ว ซึ่งนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้ให้กำลังใจยกย่องคนที่อยู่ทำงานกับพรรค และยึดมั่นร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคด้วยกันต่อไป
นายภาสกร เงินเจริญกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ในฐานะเลขาธิการพรรคเศรษฐกิจใหม่ กล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคเศรษฐกิจใหม่ ว่าก่อนหน้านี้ นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ หัวหน้าพรรค ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงไปหมดแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามที่หัวหน้าพรรคพูด เรื่องการทำงานมีความเห็นต่างกันได้ การทำงานของฝ่ายค้านเช่นกัน เหตุการณ์ที่ ส.ส.บางส่วนของพรรคเศรษฐกิจไปร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุมให้ฝ่ายรัฐบาลในการร่วมโหวตญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบจากการใช้มาตรา 44 นั้น ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีความเห็นต่างกัน แต่ยังสามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้
"ยืนยันพรรคเศรษฐกิจใหม่ยังอยู่ฝ่ายค้านเช่นเดิม แต่ยอมรับว่าเรื่องรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องที่พรรคเศรษฐกิจใหม่ถนัด เพราะพรรคถนัดเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ถ้ารัฐธรรมนูญมีปัญหาก็ต้องแก้ไข ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าปัญหาอยู่ที่อะไร ไม่ได้บอกว่าห้ามแก้รัฐธรรมนูญ" นายภาสกรกล่าว
"ปิยบุตร"นำทีมขอตั้งกมธ.แก้รธน.
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ มีการพิจารณาญัตติด่วนการขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 ตามที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ และนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทยเป็นผู้เสนอ นอกจากนี้ยังมีสมาชิกขอเสนอญัตติในทำนองเดียวกันเข้ามาอีก รวมทั้งหมด 6 ญัตติ จึงนำมารวมพิจารณาพร้อมกัน
นายปิยบุตรกล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จริงใจ ไม่ใช่ กมธ.ชุดนี้เป็นการซื้อเวลาหรือสกัดขัดขวางไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20ฉบับ ซึ่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 มีการแก้ไขถึง 4 ครั้ง เพราะคสช.อยากอยู่ยาว กระทั่งรัฐธรรมนูญปี 60 กำหนดวิธีการแก้ไขไว้ยากมากที่สุด นอกจากต้องใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 แล้ว ถ้าแก้ไขเรื่องสำคัญต้องไปออกเสียงประชามติ ล็อกประตูไว้หลายชั้น จนอาจแก้ไม่ได้เลย ถ้าเป็นสนุกเกอร์เหมือนถูกวางสนุกกันไว้ ไม่ให้แก้ ทั้งที่ประชาชนและพรรคการเมืองอยากแก้ไข หากลุกลามเป็นวิกฤติอาจถูกคณะรัฐประหารรื้อทิ้งเขียนใหม่อีก
นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า รัฐธรรมนูญปี 60 มีปัญหาชอบธรรมทางประชาธิปไตย มีที่มาจากผลพวงรัฐประหารของ คสช. มีลักษณะเด่นคือฝังระบบรัฐประหารเข้าไปอยู่ใน รธน.รับรองการใช้อำนาจ คสช.ตั้งแต่อดีตถึงอนาคต หากมีชาติหน้าคงรับรองถึงชาติหน้า ให้ ส.ว.มาทำหน้าที่หลักโหวตนายกฯ ใน 5 ปีแรก มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าปราบโกง ปฏิรูปประเทศ แต่กลับนำการเมืองไทยถอยหลังกลับไปปี 2521 ในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบที่ต้องเชิญทหารมาเป็นนายกฯ หลังเลือกตั้ง ขณะนี้รัฐบาลเป็นเสียงปริ่มน้ำ บริหารประเทศลำบาก เกิดผลประโยชน์เสนอซื้องูเห่า แจกกล้วยเลี้ยงลิง เกิดจากคณะรัฐประหารอยากสืบทอดอำนาจ วางกลไกพิสดาร เมื่อกติกาถอยหลัง พฤติกรรมนักการเมืองจะถอยหลังไปด้วย แทนที่จะชี้หน้าตำหนินักการเมือง ควรไปตำหนิคณะรัฐประหาร
"รัฐธรรมนูญปี 60 ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ เป็นแค่เอกสารที่มัดรวมกันแล้วไปเรียกว่ารัฐธรรมนูญ เพราะอำนาจที่มาจากการแต่งตั้งเทียบเท่ากับอำนาจการเลือกตั้ง รธน.ที่ดีต้องอำนวยให้รัฐบาลเลือกตั้งได้บริหารประเทศ เปิดโอกาสให้ประชาชนใช้สิทธิเรียกร้องจากรัฐบาลได้สม่ำเสมอ แต่ รธน.นี้ทำไม่ได้ เพราะเป็นเสียงปริ่มน้ำ ส่วนที่บอกการแก้ รธน.จะทำให้วุ่นวาย คิดว่ายิ่งไม่แก้ยิ่งวุ่นวาย เพราะคนอยากให้แก้จะออกมาเรียกร้องมากขึ้น เชื่อว่านักการเมืองไม่ได้แก้ รธน.เพื่อประโยชน์ตัวเอง แต่คนที่ไม่อยากให้แก้กลับทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง เช่นที่บอกรัฐธรรมนูญนี้ดีไซน์เพื่อพวกเรา"
นายปิยบุตรกล่าวทิ้งท้ายว่า ขอเชิญชวนให้สภาปลดล็อกแก้รัฐธรรมนูญ เปิดทางให้มี ส.ส.ร.ที่มาจากประชาชน อยากฝากผู้มีอำนาจ ให้เลิกหวาดระแวง หวงอำนาจ คิดยาวๆ พวกเราทำอย่างอื่นไม่ได้ เพราะมีแต่ปาก แก้ตามระบบ ไม่มีปืน กองทัพ กำลัง จึงต้องสู้ในระบบ ฝากให้สภาลงมติเห็นชอบตั้ง กมธ.วิสามัญฯ เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างฉันทามติใหม่ร่วมกัน
นอกจากนี้ยังมี ส.ส.เจ้าของญัตติในทำนองเดียวกันอภิปรายด้วย อาทิ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์, นายนิกร จำนง ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา, นายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ โดยต่างก็อภิปรายให้เห็นถึงจุดบกพร่องของรัฐธรรมนูญในเรื่องต่างๆ ทั้งระบบการเลือกตั้งที่พยายามทำให้การเมืองอ่อนแอ การได้มาซึ่งอำนาจของรัฐบาล และยังมีการแอบแฝงอำนาจหมกไว้ในมาตราต่างๆ จึงสมควรต้องแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้เกิดความเหมาะสม.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |