“กกต.” มีมติ 5 ต่อ 2 ยื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบ “พรรคอนาคตใหม่” กรณีกู้เงินธนาธร 191.2 ล้านบาท ชี้ผิดมาตรา 72 “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ประสานเสียงไม่มีใบสั่ง “ปิยบุตร” เดือดซัดวันอัปยศ กกต.เป็นเครื่องมือทางการเมืองกดปุ่มได้ตามใจ ลากโยงเทียบยุบ “ไทยรักไทย” ปลุกสาวกอย่ายอมให้เรื่องผิดปกติเป็นเรื่องปกติ โอ่บิ๊ก อนค.ยังมีกำลังใจดี เพราะรู้อยู่แล้วต้องมีวันนี้ แต่ไม่นึกว่าจะมาเร็ว!
เมื่อวันพุธที่ 11 ธันวาคม นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เป็นประธานการประชุม กกต.เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน พร้อมทั้งความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง กรณีพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนค.แล้ว
ต่อมาในช่วงบ่าย เว็บไซต์ประชาสัมพันธ์ได้เผยแพร่เอกสารข่าวแจกที่ 113/2562 ในหัวข้อ “คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคการเมือง” โดยมีเนื้อหา 8 บรรทัดระบุว่า ที่ประชุม กกต.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน พร้อมทั้งความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง กรณีพรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจากนายธนาธรแล้ว ที่ประชุมเห็นว่าการที่พรรค อนค.กู้ยืมเงินจากนายธนาธร เป็นเงินจำนวน 191,200,000 บาท เป็นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 จึงมีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมาก ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวแจ้งว่ามติเสียงข้างมากนั้น อยู่ที่ 5 ต่อ 2
ส่วนมาตรา 72 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ ระบุว่า ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
มีรายงานข่าวถึงการยื่นเรื่องให้ศาลยุบพรรค อนค.นั้น ตามธรรมเนียม กกต. จะใช้เวลายื่นเรื่องต่อศาลภายใน 30 วันหลังจากมีมติ และคาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาไต่สวนและพิจารณาราว 3 เดือน แต่ดูตัวอย่างการยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) นั้น การใช้เวลายื่นเรื่องของ กกต.และการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญใช้เพียง 13 วันเท่านั้น
สำหรับ ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่จำนวน 80 รายนั้น เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ 50 คน ซึ่งจำนวนนี้เป็นกรรมการบริหารพรรคถึง 11 คน หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค ก็จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี และจะไม่มีการเลื่อนผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับถัดไปขึ้นมาแทน ส่วนจะคำนวณ ส.ส.กันใหม่หรือไม่ ยังไม่มีความชัดเจน โดยกรรมการบริหารพรรค อนค.นั้นมีทั้งสิ้น 15 รายประกอบด้วย นายธนาธร, นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค, น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ รองหัวหน้าพรรค, นายชำนาญ จันทร์เรือง รองหัวหน้าพรรค, พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรค, นายรณวิต หล่อเลิศสุนทร รองหัวหน้าพรรค, น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค, นายไกลก้อง ไวทยาการ นายทะเบียนสมาชิกพรรค, นายนิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์ เหรัญญิกพรรค, นายสุนทร บุญยอด กรรมการ, น.ส.เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ กรรมการ, นายสุรชัย ศรีสารคาม กรรมการ, นายเจนวิทย์ ไกรสินธุ์ กรรมการ, นายชัน ภักดีศรี กรรมการ และ น.ส.จารุวรรณ ศรัณย์เกตุ กรรมการ
“บิ๊กตู่”ปัดใบสั่ง
วันเดียวกัน ก่อน กกต.มีมติดังกล่าวออกมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวในเรื่องนี้ว่า การยุบพรรค อนค.เป็นเรื่องของศาล ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่สามารถก้าวล่วงอำนาจของศาลได้ ทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามขั้นตอน ซึ่งศาลจะตัดสินไปตามนั้น ขอร้องอย่าทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า น.ส.พรรณิการ์โชว์หลักฐานพร้อมระบุว่ามีใบสั่งเพื่อให้ยุบพรรค อนค. พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “ใครสั่ง ถ้าไม่ได้ระบุ ก็ต้องไปหาคนมาว่าใครพูด เป็นผมหรืออย่างไร ไอ้ที่พูดกันออกมาหมายถึงผมเช่นนั้นหรือ ยืนยันว่าผมไม่ได้ไปก้าวล่วงใครอยู่แล้ว ผมรู้ว่าผมจะต้องทำตัวอย่างไร ไว้ใจผมสิ”
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธเรื่องใบสั่งทางการเมืองเช่นกันว่า ใบสั่งอะไร ใครเป็นคนสั่ง และเอกสารของ กกต.ที่หลุดออกมานั้นเลขาฯ กกต.ก็ชี้แจงแล้ว
ขณะที่ช่วงเช้า นายปิยบุตรชี้แจงว่า เมื่อเปิดกฎหมายดูก็ไม่ได้ห้ามให้กู้เงิน และพรรคการเมืองก็เป็นนิติบุคคลเอกชน หมายความว่าพรรคมีเสรีภาพทำอะไรก็ได้ เว้นกฎหมายจะห้ามไว้ และการห้ามต้องห้ามอย่างชัดแจ้ง แต่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองไม่ได้ห้ามไว้ชัด ไม่มีบทบัญญัติไหนเขียนว่าห้ามพรรคการเมืองกู้เงิน มีแต่เรื่องห้ามรับเงินต่างชาติ และห้ามตั้งสาขาพรรคนอกประเทศ แต่เราไม่ต้องการให้พรรค อนค.เป็นพรรคของนายธนาธรคนเดียว ดังนั้นนายธนาธรจึงตัดสินใจให้พรรคกู้เงิน และถ้าพรรคเริ่มเปิดระดมทุนและรับบริจาคได้ก็จะทยอยคืนเงิน
“เรามีหลักฐานการทยอยเงินกู้คืนนายธนาธรไปแล้วหลายครั้ง มีเช็คโอนไปแล้วชัดเจน ฉะนั้นจะกลายเป็นเงินบริจาคได้อย่างไร ถ้า กกต.จะตีความเพื่อให้สมเจตนารมณ์ของกฎหมาย ไม่อยากให้มีใครครอบงำพรรคการเมือง ผมก็ต้องถามต่อว่ากฎหมายพรรคการเมืองที่บอกว่าใครบริจาคเงินเกิน 10 ล้าน มีโทษอาญาทั้งผู้ให้และผู้รับ ซึ่งกฎหมายใดที่กำหนดโทษอาญาต้องตีความอย่างเคร่งครัด จะเทียบเคียงกฎหมายเอาผิดลงโทษคนไม่ได้” นายปิยบุตรระบุ
นายปิยบุตรยังกล่าวว่า มาตรา 72 นั้นเขาออกแบบมาเพื่อสำหรับพรรคการเมืองที่รับเงินผิดกฎหมาย เช่น ซ่องโจร ฟอกเงิน ค้ายาเสพติด เป็นต้น มาใช้จ่ายในพรรค ซึ่งเมื่อสำรวจกฎหมายหมดแล้วไม่มีมาตราใดที่เอาผิดได้ แต่หากบอกว่าในอนาคตจะไม่ให้กู้ ก็ต้องไปแก้กฎหมายพรรคการเมือง เพื่อให้ทุกพรรครู้ตัวล่วงหน้าว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ไม่ใช่พรรคทำแล้วเห็นเป็นช่องทาง ก็ริเริ่มโดยมีคนไปร้องต่อ กกต. และ กกต.ก็เริ่มดำเนินการจัดการ
ยกเทียบยุบไทยรักไทย
“ขอถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ท้ายที่สุดประเทศไทยจะเอากันแบบนี้หรือ พรรคการเมืองที่จะพยายามทำให้โปร่งใสที่สุด พยายามแจกแจงที่มารายได้มากที่สุด พยายามไม่ต้องการให้นายทุนคนใดคนหนึ่งมาครอบงำพรรคมากที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่าเรากลับโดนคดีความ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ประเทศไทยแต่ละพรรคการเมือง ถ้าต้องการหาเงินหาทองก็มุดลงดิน ไม่ต้องแจ้ง ใช้จ่ายอะไรไม่ต้องแจกแจงชัดเจน ประเทศไทยนี้สุดท้ายคือใครโปร่งใสโดนจับผิด หรือว่าประเทศนี้ใครที่ไม่อยากโดนจับผิดหรือโดนคดีความก็ต้องซุกทรัพย์สิน ไม่ต้องโปร่งใสมากก็จะรอดตัว กระบวนการที่ริเริ่มซ้ำไปมา 13 ปีก็วนอยู่แบบนี้ ยุบพรรค ตัดสิทธิ์ ติดคุก ท้ายที่สุดก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาของบ้านเมือง” นายปิยบุตรกล่าว
สำหรับการอ้างย้อนไป 13 ปีของนายปิยบุตรนั้น เป็นกรณียุบ 4 พรรคการเมืองคือ พรรคไทยรักไทย (ทรท.), พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า, พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย กรณีการจ้างพรรคเล็ก
ต่อมาในช่วงเย็น นายปิยบุตรแถลงว่า ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว และขอตั้งข้อเคลือบแคลงสงสัยต่อการทำงานของ กกต.ว่ามีวัตถุประสงค์ว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่บิดผันโดยมิชอบหรือไม่ โดยขอตั้งข้อสงสัยกลับไปด้วยเสียงดังๆ คือ 1.กกต.เร่งรัดกรณีกู้เงินอย่างผิดสังเกต 2.กระบวนการทำงานในคดีมีเอกสารหลุดออกมา ซึ่งเป็นกระบวนการชี้นำก่อน 3.กกต.มีมติให้ยุบพรรค โดยอ้างเหตุตามมาตรา 72 ซึ่งความผิดตามมาตรา 72 คือการรับเงินที่ได้มาโดยมิชอบ คำถามคือเงินที่เราได้มาจากการกู้หัวหน้าพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมายตรงไหน ซึ่ง กกต.ไม่ได้มีคำตอบนี้ในเอกสารมีเพียง 5 บรรทัด ทำงานกันแบบนี้ง่ายดีกันจริงๆ ไม่อธิบายเหตุผลอะไรเลย นี่หรือองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทสำคัญต่างๆ
“วันนี้เป็นวันอัปยศอีกครั้งหนึ่งในการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ อยากให้ กกต.ลองออกมาเจอสังคม เจอประชาชนบ้าง ลองมาฟังว่าสังคมเขาพูดอะไร เขามีความเห็นเกี่ยวกับการทำงานของ กกต.อย่างไร เขาตั้งคำถามคลางแคลงใจต่อการทำหน้าที่ของ กกต.หรือไม่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤตการณ์ทางการเมืองตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งของการก่อวิกฤติคือการทำงานขององค์กรอิสระ ที่ผ่านมาก็มีการบอกว่านักการเมืองพยายามแทรกแซงองค์กรอิสระ หลังการรัฐประหารก็มีความสงสัยว่าผู้มีอำนาจพยายามแทรกแซงองค์กรอิสระ มีใบสั่งกดปุ่มได้อย่างใจนึก ผมอยากให้สังคมตั้งคำถามถึงการทำงานของ กกต.” นายปิยบุตรระบุ
“ปิยบุตร”ปลุกสาวก
นายปิยบุตรแถลงอีกว่า เรายืนยันจะเดินหน้าทำงานต่อเนื่อง มติของ กกต.ไม่สามารถหยุดการทำงานของอนาคตใหม่ได้ เราจะเดินทางมุ่งหน้าทำงานอย่างสร้างสรรค์ต่อไป ให้มันรู้ไปว่าถ้าพรรคการเมืองกำเนิดขึ้นมา ต้องการรวบรวมผู้คนที่ทนไม่ไหวกับสภาพการเมืองไทยตลอด 13 ปีที่ผ่านมาให้รู้ว่าพรรคการเมืองที่เป็นการรวมตัวกันของคนที่ต้องการเห็นอนาคตแบบใหม่ ออกจากความขัดแย้งแบบเดิมๆ เขาจะไม่มีที่อยู่ที่ยืน ให้มันรู้กันไปว่าพรรคการเมืองที่มี ส.ส.หน้าใหม่ ที่ตั้งใจทำงานอย่างสร้างสรรค์ในสภา จะไม่มีที่อยู่ที่ยืน และให้รู้ไปว่าพรรคการเมืองที่ตั้งใจจะแสดงบัญชีรายจ่ายและรายได้ของพรรคอย่างโปร่งใสจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งเราพร้อมต่อสู้ในทางคดีความต่อไป
นายปิยบุตรกล่าวว่า ขอเรียกร้อง 1.ผู้มีอำนาจในปัจจุบันได้ฟังเสียงหรือเห็นหัวประชาชนบ้าง 2.เรียกร้องพี่น้องประชาชนคนไทย และสังคมไทยอย่ายอมให้การยุบพรรคซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติกลายเป็นเรื่องปกติ อย่ายอมให้กระบวนการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือประหัตประหารกำจัดศัตรูทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติให้กลายเป็นเรื่องปกติ อย่าปล่อยให้กระบวนการนิติสงครามเดินหน้าต่อไปได้ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไทยได้ หนังม้วนเก่าฉายซ้ำ กำลังเดินกล้อง เดินเรื่อง แต่ยืนยันว่าหนังม้วนนี้จบไม่เหมือนเดิมแน่นอน
เมื่อถามว่า วางแนวทางในการต่อสู้คดีนี้ไว้อย่างไรบ้าง นายปิยบุตรกล่าวว่า รอว่า กกต.จะให้รายละเอียดอะไรมาบ้าง แต่กลับไม่ได้อะไรมาเลย แต่ก่อนอื่นเราขอเรียกร้องสิทธิเบื้องต้นก่อน คือสิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม มีข่าวออกมาว่ามีธงจะยุบพรรคให้ได้ภายใน 3 เดือนถึงสิ้นปี ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่เป็นความจริง จึงต้องเปิดโอกาสให้พรรคเข้าสู่การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม อย่าเร่งรัดตัดตอน ต้องเปิดเวลาให้เราได้ต่อสู้คดี
“ยืนยันว่ากรรมการบริหาร แกนนำ และ ส.ส.ของพรรคกำลังใจยังดี ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคมาเราคาดหมายกันได้อยู่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมาถึง แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วกว่าที่คิด ซึ่งตัวนายธนาธรเองก็ยังมีกำลังใจดี”
เมื่อถามว่า การสื่อสารกับประชาชนว่าอย่ายอมให้เรื่องไม่ปกติเป็นเรื่องปกติ มีนัยถึงการปลุกม็อบหรือไม่ นายปิยบุตรกล่าวว่า ความอึดอัดของประชาชนคนไทยมีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของความสองมาตรฐานในการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง เป็นความคิดที่ไหลเวียนมากว่าทศวรรษแล้ว กรณีอย่างนี้ยิ่งไปตอกลิ่มตอกย้ำเข้าไปอีก คิดว่าในฐานะประชาชนคนไทย เขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ซึ่งไปตัดสินแทนประชาชนไม่ได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |