เกิดเหตุระทึกในโรงพยาบาลชุมแพ คนไข้เจ้าอารมณ์คว้ากรรไกรจ้วงแทงคอหมอหญิง โชคดียกแฟ้มกันไว้ทันรอดตายหวุดหวิด สาเหตุไม่พอใจหมอให้รอคิวตรวจเพื่อดูแลคนไข้หนักก่อน "อนุทิน" สั่งดำเนินคดีถึงที่สุด ยันไม่ใช่ผู้ป่วยจิตเวช พร้อมปรับระบบรักษาความปลอดภัยทุกโรงพยาบาล
    เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Victor Vitchayut” ได้โพสต์ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพเหตุการณ์คนไข้รายหนึ่งใช้กรรไกรพยายามแทงคอของแพทย์หญิง โดยระบุว่า “ผมขอพูดในฐานะของแพทย์ใช้ทุนจบใหม่ และในฐานะอดีตนายกสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรถูกจมหายไปกับความเงียบ แต่ควรเป็นสิ่งที่สังคมควรใช้สะท้อนและเรียนรู้ร่วมกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้น”
    ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ภายในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น เมื่อสาวใหญ่ที่เป็นคนไข้เกิดคลุ้มคลั่งตะโกนว่า "เป็นลูกเทพลูกเทวดา ถ้าตรวจช้าแบบนี้มาตายพร้อมกันไปเลย" ก่อนจะกระโดดล็อกคอแพทย์หญิงวัย 25 ปี ขณะออกตรวจคนไข้ในหอผู้ป่วย จากนั้นคว้ากรรไกรพุ่งเข้าจะแทงลำคอ แต่แพทย์หญิงยกแฟ้มเอกสารขึ้นมาบังเอาไว้ได้ ทำให้คมกรรไกรจิ้มไปที่แฟ้มแทน ก่อนที่พยาบาลจะเข้าไปช่วยเหลือได้ทัน หลังเกิดเหตุ แพทย์หญิงผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความตำรวจ สภ.ชุมแพแล้ว
    ด้านเพจเฟซบุ๊ก Infectious ง่ายนิดเดียว ซึ่งเป็นเพจที่ให้ความรู้ทางการแพทย์ ได้โพสต์ข้อความว่า “แอดได้คุยกับน้องหมอที่เกิดเรื่องแล้ว น้องอินบ็อกมาขอบคุณ น้องเพิ่งจบเป็นแพทย์ใช้ทุนปี 1 คนไข้อายุราว 40 ปี เป็นหอบหืด ภูมิแพ้ มา รพ.บ่อย ไม่ได้ป่วยเป็นจิตเวช คนไข้เป็นลูกคนเดียว เอาแต่ใจ ชอบข่มขู่เจ้าหน้าที่เวลามา รพ. วันเกิดเหตุ น้องมาตรวจคนไข้ที่นอน รพ. บนหอผู้ป่วย และขออนุญาตตรวจคนไข้เคสหนักก่อน คนไข้ไม่พอใจ เพราะต้องการได้ตรวจคิวแรกๆ
    คนไข้เดินไปเข้าห้องน้ำ ในมือถือกระดาษทิชชู โชคดีที่เตียงข้างๆ สังเกตการณ์ตลอด คนไข้หยิบกรรไกรจากรถ Emergency ญาติคนไข้เตียงข้างๆ เป็นหูเป็นตาให้ และตะโกนบอก คนไข้จะฆ่าหมอ น้องมีสติดี ป้องกันตัวทัน ไม่ได้รับอุบัติเหตุทางกาย แต่จิตใจคงย่ำแย่ ตกใจมากๆ น้องฝากขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ ผอ.รพ.ดูแลดี เยียวยาเต็มที่ ตอนนี้ให้น้องพักผ่อน หยุดงาน พักสมอง ร่างกาย จิตใจ แอดแนะนำให้น้องงดโซเชียล งดออกสื่อทุกอย่าง ให้ไปเที่ยวพักผ่อน อยู่กับแม่และน้อง น้องน่ารัก เป็นคนดี มีคุณแม่ที่ต้องดูแล single mom และน้องอีกคนเป็น stroke ให้กำลังใจน้องหมอได้ ขออนุญาตไม่เปิดเผย รพ. และน้องครับ เพื่อความปลอดภัย”
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรณีนี้สาเหตุคาดว่าผู้ป่วยเกิดอาการหงุดหงิด ส่วนการให้บริการผู้ป่วยอย่างรวดเร็วในโรงพยาบาลต่างจังหวัดนั้น ขอชี้แจงว่าโรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่ทุกคนเข้ารับการรักษา และเป็นสถานที่ที่ให้บริการประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะมีคนไปทำร้ายเจ้าหน้าที่ที่เป็นแพทย์และพยาบาลภายในโรงพยาบาลได้ 
    “ผมต้องดำเนินคดีทางอาญากับผู้ที่ก่อเหตุดังกล่าวให้ถึงที่สุด แม้จะเข้าใจถึงความรู้สึก แต่เราก็ปล่อยไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้เป็นแบบอย่างกับผู้อื่น ต้องประณาม การมีอารมณ์หงุดหงิดแค่ชักสีหน้าใส่แพทย์และพยาบาลถือว่าแย่พอแล้ว แต่ถึงขั้นทำร้ายกันเช่นนี้เราทนและยอมไม่ได้ ผมต้องปกป้องคนของผม” นายอนุทินระบุ
    สำหรับมาตรการเพิ่มความระมัดระวังในสถานพยาบาลต่างๆ นายอนุทินกล่าวว่า แต่ละโรงพยาบาลมีมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นต้องตรวจค้นร่างกายผู้ที่เข้ารับบริการ และสังคมต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ยืนยันว่าสถานพยาบาลไม่ใช่สถานที่ที่จะมาใช้ความรุนแรง โชคดีไม่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งได้มอบหมายผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจแพทย์หญิงแล้ว
    ขณะที่ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว โดยคนไข้ที่ก่อเหตุเป็นคนไข้ระดับเบามารักษาด้วยโรคภูมิแพ้ แพทย์เคยอนุญาตให้กลับบ้านแล้วเมื่อ 3 วันก่อน แต่คนไข้ไม่สบายใจจึงขออยู่ต่อ โรงพยาบาลจึงอนุญาตให้อยู่ ดังนั้นจึงอยากขอให้ญาติช่วยกรุณาว่าหากแพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ ก็ขอให้กลับบ้านด้วย และขณะนี้ผู้ป่วยรายดังกล่าวที่ก่อเหตุ ได้ถูกส่งตัวไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลขอนแก่นแล้ว 
    สำหรับการดำเนินคดี จากการพูดคุยกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ซึ่งได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่นและอัยการ เบื้องต้นจะไปแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ในข้อหาพยายามฆ่า เนื่องจากคอถือเป็นส่วนอันตราย ถ้าทำร้ายอาจถึงแก่ชีวิตได้ รวมทั้งส่งกรรไกรและคลิปไปประกอบด้วย แต่ขอย้ำว่าผู้ป่วยรายนี้ตามรายงานไม่ได้มีปัญหาทางสุขภาพจิต แต่อาจจะมีแค่เรื่องบุคลิกภาพ แต่หากจะมีโรคอะไรก็คงจะให้แพทย์ไปตรวจวิเคราะห์ ตรวจประเมินต่อไป
    "จากกรณีที่เกิดขึ้นอาจต้องมีการมาปรับแผนการดูแลความปลอดภัยเพิ่ม โดยได้มอบหมายให้ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมกับกองวิศวกรรมทางการแพทย์ที่ดูแลเรื่องเครื่องมือแพทย์ทั้งหมด นอกจากนี้ จะให้กรมการแพทย์ทำมาตรฐานในห้องฉุกเฉิน ซึ่งอาจให้ขยายระบบมาถึงหอผู้ป่วยด้วย รวมถึงอาจต้องเน้นเรื่องการทำ 5 ส. เกี่ยวกับการเก็บอุปกรณ์ของเจ้าหน้าที่ด้วย เพราะเมื่อใช้เสร็จให้เก็บอุปกรณ์ให้เป็นระเบียบ"
    ที่ห้องประชุมโรงพยาบาลชุมแพ จ.ขอนแก่น แพทย์หญิงวิพรรณ สังคหะพงศ์ รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 7 พร้อมด้วยแพทย์หญิงดวงพร อัศวราชันย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมแพ และนายแพทย์สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์ สสจ.ขอนแก่น ร่วมกันแถลงข่าวถึงมาตรการการดูแลไม่ให้เกิดความรุนแรงในสถานบริการและบุคลากรในทุกระดับชั้น หรือบุคคลอื่นที่อยู่ในสถานพยาบาล หลังเกิดเหตุการณ์ผู้ป่วยหญิง อายุ 43 ปี ที่มารักษาตัวด้วยอาการภูมิแพ้ ใช้กรรไกรทำร้ายร่างกายแพทย์หญิงอายุ 25 ปี ขณะออกตรวจคนป่วยในหอผู้ป่วยใน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีวงจรปิดตรงจุดเกิดเหตุบันทึกภาพเอาไว้ได้ และแพทย์หญิงก็ได้ใช้เป็นหลักฐานเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ชุมแพในวันเดียวกัน
    พญ.วิพรรณกล่าวว่า หลังทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกฝ่ายก็มีความห่วงใยบุคลากร จึงได้เดินทางมาให้กำลังใจ ซึ่งต้องยอมรับว่าแพทย์หญิงที่ถูกกระทำนั้นมีไหวพริบ มีสติ มีสภาพจิตดีมาก ถือว่าวงการแพทย์ได้บุคลากรที่ดี ขณะนี้แพทย์รายดังกล่าวมีขวัญและกำลังใจดี และพร้อมที่จะมาปฏิบัติหน้าที่ตัวเอง 
    ส่วน พญ.ดวงพร ผอ.รพ.ชุมแพ กล่าวว่า ในรายของผู้ป่วยที่ก่อเหตุครั้งนี้ ผู้ป่วยเคยมีประวัติแพ้ที่ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเป็นโรคที่พบยาก แต่ไม่พบว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า อย่างไรก็ตาม ทราบจากแพทย์จิตเวชที่ตรวจผู้ป่วยรายนี้ประจำว่าผู้ป่วยเคยรับประทานยานอนหลับในปริมาณมาก จึงงดให้ยาชนิดดังกล่าว เพราะยานอนหลับบางตัวเป็นผลต่อระบบประสาท หมอจึงไม่ให้รับประทาน แต่ทั้งนี้การรักษาของหมอก็ไม่ใช่จะใช้วิธีหักดิบ แต่จะใช้หลักวิชาการ คือค่อยๆ ปรับเปลี่ยน เพื่อให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีขึ้น จากนั้นก็ทำการรักษาตามอาการที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา คืออาการแพ้ และผู้ป่วยก็มารับการรักษาในโรงพยาบาลบ่อยครั้งซึ่งก็ไม่มีปัญหาใดๆ 
    ขอยืนยันว่าโรงพยาบาลไม่ได้ละเลยการดูแลผู้ป่วย เพราะแพทย์ทุกๆ คนยินดีและเต็มใจดูแลรักษาผู้ป่วยเท่าเทียมกัน แต่บางรายก็ต้องดูแลนาน เพราะเป็นผู้ป่วยหนัก ซึ่งก็อยากจะให้ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ได้เข้าใจการทำหน้าที่ของแพทย์ในโรงพยาบาลด้วย.