บิ๊กตู่แบะท่าต้อนงูเห่าเข้าคอก


เพิ่มเพื่อน    

 "ประยุทธ์" เบรกการเมืองในสภาจบแล้ว ชี้ทุกคนมีอุดมการณ์ของตัวเอง สยบข่าวยุบสภา-ปรับ ครม. หวั่นกระทบความเชื่อมั่น ยันทุกคนเริ่มทำงานเข้าขากันมากขึ้น แต่หาก“เศรษฐกิจใหม่” มาต้องคุยกับพรรคร่วม "สมศักดิ์" ยันไม่มีงูเห่าแลกคดี อ้าง ส.ส.รัฐบาลยังถูกศาลออกหมายจับ "ชวน" กรีด ส.ส.เสียบบัตรคาไว้ แมลงกดปุ่มให้ได้หรือ "เพื่อไทย" ซัดรัฐบาลทำเรื่องน่าอายหว่านเงินซื้องูเห่า ตั้ง กก.สอบโทษถึงขั้นไล่ออก-ดำเนินคดีอาญา สะพัด! "แม้ว" บินมาฮ่องกงพบ "เหลิม" เปลี่ยนนั่งยุทธศาสตร์แทน "หน่อย" ขณะที่ "ปิยบุตร" แพ้ไม่เป็นชง กมธ.กฎหมายตั้ง กก.ศึกษา ม.44 ผนึกภาค ปชช.ทำกันเอง 

    ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 6 ธันวาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ว่า อากาศประเทศไทยเป็นแบบนี้ อากาศหนาวมีความสุขสบายใจ ฉะนั้นอย่าไปเร่งอุณหภูมิความร้อนให้กับประเทศ สื่อขอร้องด้วยแล้วกัน หลายๆ เรื่องทุกอย่างผ่านพ้นมาได้ด้วยดี จะอะไรอย่างไรก็ไปว่ากันใหม่ในวันหน้าว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ส่วนอันเก่าให้จบๆ กันบ้าง ต้องไปว่าอันใหม่ว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป
    “ผมคิดว่าทุกอย่าง ทุกคน ก็ต้องมีอุดมการณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์พรรค อุดมการณ์ชาติ มันต้องมีทั้งสองอย่าง พรรคอย่างเดียวไม่พอ ต้องอุดมการณ์ชาติด้วย” พล.ประยุทธ์ กล่าว
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องในสภาตนว่าพอได้แล้ว มันจบแค่นี้ก็จบเท่านี้ไปก่อน ถ้าไปพูดกันทุกวันๆ มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ก็ค่อยไปดูในเรื่องของวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก ถ้าเราช่วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ประเทศชาติอยู่ตรงไหน การเป็นฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาลเป็นเรื่องของประชาธิปไตยอยู่แล้ว ตนเข้าใจดี แต่ขอให้มีเหตุมีผลสักหน่อย และเอาสถานการณ์ภายในประเทศมาจับดู จะช่วยกันได้อย่างไรในบางเรื่องบางมิติ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะคล้อยตามทั้งหมด
     “วันนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ไปโน่นไปนี่ แม้กระทั่งการยุบสภาอะไรต่างๆ ผมยังไม่ได้คิดตรงนั้น เพียงแต่ถามดูว่าแต่ก่อนเขาทำกันอย่างไร เรื่องเหล่านี้ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้ไปประกาศว่าจะทำอะไรมันประกาศไม่ได้เรื่องเหล่านี้ มันเสียไปทั้งหมด ความมั่นใจของต่างประเทศก็เสีย อย่าไปเขียนแบบนั้น ผมคงไม่โง่พอที่จะไปพูดเรื่องเหล่านี้ในสื่อในอะไรต่างๆ เราต้องรักษาสภาพให้ได้มากที่สุด ถ้าเรายอมรับว่าวันนี้เป็นเสียงส่วนน้อยแล้วเป็นเสียงใคร เสียงมาจากประชาชนไม่ใช่หรือ เขาเลือกพรรคการเมืองแต่ละพรรคมา เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเลือกอยู่ฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ก็เป็นสิทธิ์ของเขา เราจะแก้อย่างไรในครั้งหน้าครั้งต่อไป ไปว่ากันตรงนี้นะจ๊ะ”
    ผู้สื่อข่าวถามว่า เพื่อลดกระแสข่าวลือต่างๆ ยืนยันได้หรือไม่ว่าขณะนี้ยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มีๆ ยืนยันว่าผมยังไม่ได้พูดถึงเรื่องตรงนี้เลย วันนี้ทุกคนเริ่มทำงานเข้าขากันมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เข้ามากันใหม่ๆ มันฉุกละหุก เขาก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของการหาเสียงของเขา เรื่องต่างๆ เหล่านี้ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าถึงแม้จะมีนโยบายของพรรคต่างๆ ออกมาก็ตามทั้งหมดจะต้องนำมากลั่นกรอง ไม่ใช่ว่าผลงานที่ทำออกมาแล้วเป็นเรื่องของพรรคนั้นพรรคนี้ สิ่งที่ทุกคนต้องเคารพคือมติของ ครม. ซึ่งเหนือกว่าทุกเรื่องทั้งปวง แม้นโยบายพรรคนั้นพรรคนี้จะดี แต่พรรคนี้คือพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าทุกอย่างดีก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลดีไปด้วย ผมจึงไม่ได้มีความกังวลเลยว่าจะต้องไปยุบสภาหรืออะไรทุกอย่าง
     เมื่อถามถึงเสถียรภาพของรัฐบาลยังคงมั่นคงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า แน่นอน ยังโอเคอยู่ และไม่ใช่ว่าผมในฐานะนายกฯ ไปร่วมกินข้าวกับพรรคร่วมรัฐบาล เป็นคนละเรื่อง ส่วนการปรับ ครม. ไม่มีหลักว่าจะต้องกี่เดือน แต่จะยึดหลักว่าเมื่อไหร่ที่ทำงานกันไม่ได้ก็ปรับ คือการปรับการทำงานให้เข้ากันให้ได้โดยเร็ว ไม่ใช่เป็นผลงานของใครของมัน แต่เป็นผลงานของรัฐบาล แล้ววันนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็เข้าขากันทั้งหมด
ศกม.เข้ามาต้องคุยพรรคร่วม
    ผู้สื่อข่าวถามว่า เพื่อเสถียรภาพของรัฐบาล จำเป็นต้องดึงพรรคเศรษฐกิจใหม่ (ศกม.) มาร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายกฯ ย้อนถามว่า “ก็เขามาหรือไม่ ถ้าจะมาก็มา ถ้าสนใจก็มา เรื่องนี้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองและนักการเมืองที่จะไปพูดคุยกัน”
     ถามว่าหากพรรคเศรษฐกิจใหม่เข้ามาร่วมรัฐบาล จะจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีให้อย่างไร นายกฯ หัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ไม่ใช่  ให้มาก่อนแล้วค่อยว่ากัน อย่าเพิ่งมาต่อรองอะไรในวันนี้ ถ้ามาแล้วสัดส่วนการจัด ครม.จะเป็นอย่างไร เพราะแต่ละพรรคมีโควตาอยู่ไม่ใช่หรือ จะมา 3-4-5-6 คนจะมากันอย่างไร อยู่กันตรงไหน ก็ต้องไปคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล เพราะรัฐมนตรีเรามีอยู่จำนวนแค่นี้ ถ้าเข้ามาแล้วขอตำแหน่งรัฐมนตรีเลยแล้วจะทำอย่างไร คนเก่าจะไปอยู่ที่ไหน มันต้องไปคุยและตกลงกันก่อน เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะไปคุยกัน”         
     เมื่อถามอีกว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนักการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์หรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่มั้ง แต่ผมก็มีหลักการของผม ไม่ใช่จะการเมืองอย่างเดียว การเมืองจะต้องครอบคลุมในเรื่องของการมีธรรมาภิบาล เป็นผู้นำที่มีหลักการ ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทำเพื่อการเมืองอย่างเดียว ถ้าทำเพื่อการเมืองอย่างเดียวประเทศชาติก็ติดหล่มเหมือนเดิม เพราะปัญหามีมากมาย วันนี้มีแต่ความหวัง ความศรัทธา ผมเชื่อมั่นในประชาชน เชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา ยังไม่พอกันอีกหรือ
    ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีพรรคเศรษฐกิจใหม่ร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุมให้รัฐบาลในการโหวตคว่ำการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) พิจารณาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศ และคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช.ตามอำนาจมาตรา 44 จะนำมาสู่การปรับ ครม.หรือไม่ ว่าไม่รู้ ส่วนแนวโน้มที่พรรคเศรษฐกิจใหม่จะมาร่วมกับรัฐบาลหรือไม่นั้น ตนไม่รู้ ต้องไปถามเขา และไม่ได้มีการประสานกัน เรายังไม่รู้เรื่อง พูดไปกันทั้งนั้น
    เมื่อถามย้ำว่า ถ้าเป็นเช่นนี้จะปรับ ครม.หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ยังไม่มี ให้ไปถามนายกฯ เมื่อถามอีกว่าแสดงว่าครม.ยังสบายใจได้อยู่ว่าปีใหม่ยังคงอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิม พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ยังอยู่อย่างนี้ ก็ทำงานกันไป ทำงานดีกันไม่ใช่หรือ ต่างคนก็ต่างทำงานกันไป” ส่วนกระแสข่าวอาจมีการลงโทษพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการริบตำแหน่งคืน 1 ตำแหน่ง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่รู้ ใครพูด ไม่มีกระแสข่าว ไม่มี  
    นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) ระบุว่ามีการนำคดีความไปแลกกับการเป็นงูเห่าว่า คำว่างูเห่าตนได้ยินมานานหลายเดือนแล้ว บางครั้งบอกว่ามีงูเห่า 20 บ้าง หรือ 30 คนบ้าง แต่ครั้งนี้มีคนยกมือให้รัฐบาล 10 คน จะไปบอกเขาเป็นงูเห่าได้อย่างไร เขาอาจจะมองว่าเหตุผลที่ช่วยยกมือสนับสนุนเป็นคุณกับทางรัฐบาล ทำให้เกิดความมั่นคง และการที่บอกว่าเอาคดีความไปแลก การพูดอย่างนี้จะเป็นการสร้างรั้วที่ขวางทางเดินของ ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลในเรื่องคดีความและกระบวนการยุติธรรม ตนไม่อยากให้เอามาพูด ถ้าเอามาพูดว่าบางคนเข้ามาสู่คดีความใกล้คุกและศาล ถือเป็นความหมิ่นเหม่ เราอย่ามาพูดกันเรื่องนี้ ขอให้พูดเรื่องอื่นที่เป็นเหตุผล
ไม่มีงูเห่าแลกคดี
    “ผมเห็นหลายคนหลายท่านฝั่งรัฐบาลก็ถูกคดีความ ศาลออกหมายจับทั้งที่เป็น ส.ส. ฉะนั้นผมไม่เชื่อว่าเป็นงูเห่า หรือมีงูเห่า เพราะตัวเลขที่ออกมาแต่ละครั้งไม่ตรง ยืนยันไม่ใช่เรื่องงูเห่า ได้อะไรไป หรือไปแลกเปลี่ยนคดีความ ไม่ใช่ เรื่องงูเห่าควรจบได้แล้ว” รมว.ยุติธรรมกล่าว
    นายสมศักดิ์กล่าวว่า ขอบคุณพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่ยกมือให้รัฐบาลถึง 4 คน เขาอาจจะมีความเห็นของเขา เพราะเขาเป็น ส.ส.อยู่แล้ว ทั้งนี้ วิปรัฐบาลทำดีแล้ว เพราะเสียงมีจำนวนปริ่มแบบนี้ คนเป็นวิปรัฐบาลเหนื่อยพอสมควร น่าจะให้กำลังใจกันมากกว่า อย่าไปโทษวิปรัฐบาลเลย เราต้องโทษเรื่องอื่นมากกว่า ส่วน 3 ป.ก็ต้องออกฤทธิ์อยู่แล้ว ถ้าไม่ออกก็ไม่เข้าแถวกัน แถวไม่ตรง 
    "ผมไม่ทราบว่าท่านเอาอะไรมาพูด  แต่เห็นว่าการเมืองทุกยุคทุกสมัยเหมือนกันหมด อย่าไปว่าใครเป็นอะไรเลย อย่าไปว่ากันเอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลักดีกว่า" นายสมศักดิ์กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่าการเมืองถอยหลังย้อนอดีตไปเกือบ 40 ปี เป็น “Money Politic” 
    นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแกนนำพรรค พปชร. กล่าวถึงกรณี ครม.มอบหมายให้เป็นที่ปรึกษาวิปรัฐบาลว่า จากเดิมที่วิปรัฐบาลจะดูแลเสียง ส.ส. 1 คน ต่อ 5 คน อาจปรับเป็น 1 คนต่อ 3 คน และในส่วนแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลจะประสานงานกันให้เข้มแข็งขึ้นเหมือนกัน ซึ่งจะมีการเพิ่มตัวแทน ครม.เข้าไปอยู่ในวิปรัฐบาลอีก 2-3 คน คือ นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข, นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม,  นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ที่เป็นวิปรัฐบาลอยู่แล้ว รับปากจะช่วยประสานงานด้วยหลังจากนี้เมื่อวิปรัฐบาลมีตัวแทนจาก ครม.มากขึ้น จะสามารถควบคุมเสียงได้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องขององค์ประชุม จะเร่งให้ครบทุกครั้ง
    เมื่อถามว่า วิปรัฐบาลต้องไฟเขียวก่อนที่ ส.ส.จะยื่นญัตติใช่หรือไม่ นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ส่วนใหญ่จะคุยกันอยู่แล้วบ้างก่อนดำเนินการ ส.ส.มีเอกสิทธิ์ในการยื่นอยู่แล้ว แต่เราจะขันนอตให้ช่วยกันทำงานใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เสียงในสภาที่มีปัญหานั้นจะเห็นว่าเราจำเป็นต้องใช้เสียงร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อมีขาดไปก็ทำให้เกิดปัญหา จากนี้ต้องช่วยกันดูแลนับเสียงยิ่งขึ้น พอเราจริงจังนับยอดคนขาด คนลา ก็ครบ ในเรื่องขององค์ประชุม ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องร่วมกันรับผิดชอบ เพราะถ้าองค์ประชุมไม่ครบบ่อยๆ ภาพลักษณ์ของสภาจะมีปัญหา
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข  หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการรับประทานอาหารร่วมกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้การประชุมสภาราบรื่นหรือไม่ ว่า ไม่หรอก แต่ละคนต้องรู้มารยาทและหน้าที่ตัวเอง เราเป็นรัฐบาลต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน ยกเว้นเรื่องคอขาดบาดตายที่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย เรื่องผิดกฎหมาย เรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ตรงนั้นไม่มีใครยอม ส่วนที่มีฝ่ายค้านบางส่วนมาแสดงตนจนทำให้องค์ประชุมครบถือเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. คนเป็นผู้แทนราษฎรบางทีไม่อยากให้ภาพสภาล่มเกิดขึ้น เป็นศักดิ์ศรีของ ส.ส.ทุกคน เรารับเงินเดือนประชาชน อุตส่าห์เลือกให้เข้ามาทำงาน จึงต้องทำงาน  
    เมื่อถามว่า ในอนาคตต้องใช้เสียง ส.ส.ของฝ่ายค้านมาร่วมในญัตติสำคัญๆ ของรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่มั้ง พอดีช่วงนี้หลายคนไปต่างประเทศ และบางคนป่วย ส่วนการปรับ ครม.คงไม่มี นายกฯ พยายามแก้ไข การปรับ ครม.มีปัจจัยและเงื่อนไขหลายอย่าง คนที่ตัดสินใจได้มีคนเดียว ตอนนี้ทุกคนทำงานหัวฟัดหัวเหวี่ยง จะปรับ ครม.หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ทุกอย่างผ่านหมด เงื่อนไขที่คิดว่าจะชะงักติดขัดก็ผ่านมาด้วยดี 
ยื่น กกต.เอาผิด สส.โรงเหล้าเถื่อน
    เมื่อถามถึงกระแสข่าวพรรคเศรษฐกิจใหม่มาร่วมรัฐบาลจะต้องปรับ ครม.หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า จะไปรู้ได้อย่างไร ไม่ใช่คนไปทาบทาม เมื่อถามว่าหากปรับ ครม.จะกระทบพรรค ภท.หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ก็ไม่ควรจะมีนะ เราก็ทำหน้าที่ของเราครบถ้วนกระบวนความทุกอย่าง ต้องคุยกัน อะไรที่เป็นเพื่อบ้านเมือง คุยได้ก็คุย อย่าไปหักหาญกัน ใครเข้ามาช่วยทำงานก็ดี รัฐบาลต้องการความเข้มแข็งที่สุด จะได้บริหารด้วยความราบรื่น
    ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสนธิญา สวัสดี สมาชิกพรรค พปชร. ยื่นหนังสือถึง กกต.ถึงกรณีผลการประชุมสภาฯ เมื่อช่วงวันที่ 27-24 พ.ย. และวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ผลจากการประชุมทำให้สภาล่ม ซึ่งพฤติกรรมของ ส.ส. โดยเฉพาะมีเสียงโห่ร้อง เสียงดังในห้องประชุมสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้เตือน ส.ส.ว่าไม่ใช่โรงเหล้า ตนดูพฤติกรรมของส.ส.มาโดยตลอด เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ชอบใจก็จะแสดงพฤติกรรมส่งเสียงโห่ร้อง จึงมายื่นเรื่องต่อ กกต.เพื่อให้ตรวจสอบจริยธรรมของ ส.ส.ที่มีการแสดงพฤติกรรมขัดต่อข้อกำหนดตาม พ.ร ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 15 (11) ในเรื่องจริยธรรมในการประพฤติปฏิบัติของ ส.ส. นอกจากนี้ยังมีความผิดในเรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มี ส.ส.จำนวนหนึ่งวอล์กเอาต์ โดยไปยืนรวมอยู่ที่เดินด้านหลังห้องประชุม ซึ่ง ส.ส.ถ้ายังอยู่ในห้องประชุมสภาก็ต้องทำหน้าที่ และทำได้เพียง 3 อย่างเท่านั้น คือ ลงมติ ไม่ลงมติ และงดเว้นการลงมติ จึงเรียนมายัง กกต.เพื่อประสานประธานรัฐสภาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.หรือไม่ 
    นายสนธิญากล่าวอีกว่า ฝากถึงนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป. ที่เคยพูดไว้เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ก่อนที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี ว่าทุกคนต้องเคารพมติพรรค เพราะเราเป็นสถาบัน ถ้าอย่างนั้นพรรคจะอยู่ไม่ได้หากเราไม่เคารพองค์กร แต่วันนี้นายเทพไทซึ่งแหกมติพรรค โดยขอใช้อภิสิทธิ์แล้วไปลงมติอยู่ฝ่ายค้าน อย่างนี้นายเทพไททำตามคำที่พูดไว้หรือไม่ ท่านได้หยิบเอาน้ำลายที่ท่านถ่มลงไปในพื้นกลับมากลืนกิน จึงเรียกร้องว่าขอให้ท่านมีอุดมการณ์เหมือนที่ท่านพูด ไม่เป็นไม้หลักปักขี้เลน 
    ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ให้สัมภาษณ์ถึงข้อสงสัยกรณีการกดบัตรแสดงตนแทนกันของ ส.ส. หลังจากที่นายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อ้างการเสียบบัตรแสดงตนทิ้งไว้ในห้องประชุมระหว่างการนับองค์ประชุมใหม่ในญัตติขอให้สภาตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศ และคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ว่า หากมีผู้ร้องเข้ามายังตน ก็พร้อมจะตรวจสอบให้ การเสียบบัตรทิ้งไว้บริเวณที่นั่งของ ส.ส.เป็นเรื่องปกติ และทำได้ ซึ่งตนก็เคยเสียบบัตรทิ้งไว้บริเวณที่นั่งเช่นกัน เพราะ ส.ส.มีที่นั่งประจำ เมื่อมีการแสดงตนหรือลงคะแนนต้องกดบัตรในที่นั่งบริเวณเดิม โดยไม่มีใครกดบัตรแล้วดึงบัตรออกมาเก็บไว้ ยกเว้นจะเปลี่ยนที่นั่ง
    “กรณีนี้หากคุณขจิตรหรือใครที่ได้รับผลกระทบว่ามีคนขโมยบัตรเพื่อไปออกเสียงหรือแสดงตน ถือว่าเป็นผู้ที่เดือดร้อน สามารถส่งเรื่องให้ผมตรวจสอบได้ การเสียบบัตรคาไว้ถือเป็นเรื่องปกติ แต่การลงคะแนนหรือกดบัตรแสดงตนแทนกัน ผมเข้าใจว่าคงไม่มีแมลงหรือตัวอะไรที่กดปุ่มให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้อย่าใช้คำว่าสมมติ ขอให้เจ้าตัวทำเรื่องเข้ามา ซึ่งสิ่งที่คุณขจิตรระบุไปก่อนหน้านี้อาจจะไม่ใช่ ดังนั้นหากมีเรื่องร้องมาก็ต้องตรวจสอบ”
    เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวการซื้อตัว ส.ส.เพื่อแลกกับเสียงลงมติ จะกระทบภาพลักษณ์ของสภาหรือไม่ ประธานสภาฯ กล่าวว่า ตนไม่ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่กรณีดังกล่าวขอให้แยกเรื่องตัวบุคคลออกจากภาพของสภา เพราะต้องยอมรับว่าในแวดวงต่างๆ ทั้งข้าราชการ, นักการเมือง, สื่อมวลชน หรือนักธุรกิจ ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ดังนั้นต้องแยกออกจากกัน และอย่าเหมารวม
พท.ตั้งกก.สอบงูเห่า
         ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายภูมิธรรม เวชยชัย, นายชูศักดิ์ ศิรินิล, นายชัยเกษม นิติสิริ แกนนำพรรค ร่วมแถลงข่าวกรณี ส.ส.ของพรรคโหวตสวนมติพรรค กรณีตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบการใช้อำนาจของรัฐบาล คสช.และมาตรา 44 จากนั้นได้อ่านคำแถลงเรื่องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีการเกิดเรื่องงูเห่าในพรรคการเมือง  สรุปว่า กรณีที่มีข่าวหนาหูว่ามีการใช้ผลประโยชน์ อิทธิพล และมีการกล่าวอ้างถึงการใช้เงินจำนวนมากถึง 7-8 หลักเพื่อโน้มน้าว ชักจูงให้มีการลงมติสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และดิ้นรนที่จะไม่ยินยอมให้มีการตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรา 44 จนเกิดการถอยหลังทางการเมืองอย่างน่าอดสู ปรากฏการณ์งูเห่าที่เกิดขึ้นในพรรคการเมืองหลายพรรค ถือเป็นปฏิบัติการที่ไม่มีกติกา ขาดวินัย ไร้จิตสำนึก มุ่งแต่แสวงประโยชน์ฝ่ายตนให้เกิดขึ้นภายใต้กลไกอำนาจนอกระบบ เป็นการลุแก่อำนาจ คุกคามด้วยอามิสสินจ้าง ทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะ 
    จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่การรัฐประหารล่วงเลยมาถึงวันนี้ สังคมไทยมีบาดแผลและมีมลทินมากมาย ผลที่เห็นประจักษ์ชัดคือ การเมืองไทยที่เคยก้าวหน้า เป็นการเมืองเชิงนโยบาย กลับต้องถอยหลังย้อนอดีตไปเกือบ 40 ปี เป็น Money Politic ที่ใช้อำนาจอธรรมและเงิน เป็นเครื่องมือ ทำให้ระบบรัฐสภาถอยหลัง ความเสื่อมทรุดทั้งปวง เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความหวาดกลัวการถูกตรวจสอบ การใช้อำนาจเงินหว่านล้อมให้ ส.ส.งูเห่ายอมจำนน เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากปัญหาดังกล่าวรัฐบาลและกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบันต้องยินยอมและเร่งรัดให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมในสังคม เพื่อออกแบบรัฐธรรมนูญเสียใหม่
     พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการดังนี้ 1.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี ส.ส.ของพรรคไม่ปฏิบัติตามมติพรรคร่วมฝ่ายค้านหากพบว่ามีการกระทำผิด จะดำเนินการตามกฎหมายและข้อบังคับพรรคในสถานหนัก 2.จะเสนอให้พรรคร่วมฝ่ายค้านพิจารณาตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรา 44 ทำหน้าที่รวบรวมความคิดเห็นและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าวโดยให้ประชาชนร่วมเสนอความคิดเห็น  
    นายสมพงษ์กล่าวว่า ขณะนี้ทางพรรคได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ส.ส.ทั้ง 3 คนแล้ว โดยมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นประธานคณะกรรมการ และจะใช้เวลาในการตรวจสอบภายใน 7-10 วัน โดยจะเรียก ส.ส.ทั้ง 3 เข้ามาให้เหตุผลถึงการโหวตสวนมติพรรค เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วจะส่งเรื่องให้หัวหน้าพรรคพิจารณา เบื้องต้นหากพบว่ามีความผิดจะมีโทษหนักสุดคือการไล่ออกจากพรรค หรือไม่ให้ลงรับสมัครเลือกตั้งในครั้งต่อไป หากพบว่ามีการซื้อขายในการโหวตนั้น ก็จะดำเนินการตามกฎหมายอาญา 
    เมื่อถามถึงกรณีพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่มีการโหวตสวนมติ 4 คน นายภูมิธรรมกล่าวว่า ได้มีการหารือกันบ้างแล้ว โดยในสัปดาห์หน้าจะมีการหารืออีกครั้งในวิปฝ่ายค้าน เชื่อว่าขณะนี้พรรคเศรษฐกิจใหม่ก็กำลังตรวจสอบคนของตัวเองอยู่เช่นกัน    
"แม้ว"พบ"เหลิม"ดันขึ้นแทนหน่อย
    คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากกติกาที่รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารที่ คสช. ได้ร่างกติกาบิดเบี้ยวเพื่อให้ตัวเองสืบทอดอำนาจให้ คสช. เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ทุกอย่างผิดไปหมด ส่วนการที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ร่วมกระชับมิตรหูฉลามนั้น เป็นความพยายามร้อยทุกหูไว้กับผลประโยชน์ของรัฐบาลไปทั่ว เกิดงูเห่า ลิงแจกกล้วย การกระทำดังกล่าวทำให้ประชาชนดีขึ้นหรือ
    มีรายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า จากกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนความไม่พอใจการทำงานของคุณหญิงสุดารัตน์ ซึ่ง ส.ส.บางส่วน โดยเฉพาะภาคอีสาน มีความเป็นห่วงว่าหากพรรคเพื่อไทยยังคงยึดแนวทางการทำงานเช่นเดิม พรรคจะมีปัญหา จึงเสนอขอให้เปลี่ยนตัวคนนำพรรค หลายคนเห็นว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคมีความเหมาะสมที่จะมานำพรรคแทน ทำให้นายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางมาที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. ทั้งที่ไม่มีกำหนดการล่วงหน้า โดยมี ร.ต.อ.เฉลิม และนายวัน อยู่บำรุง รวมถึง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ไม่ได้เดินทางไปนครดูไบได้เดินทางไปพบ คาดว่าจะมีการพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าวเพื่อกำหนดทิศทางของพรรคในอนาคตต่อไป  
     ส่วนนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่  แถลงว่า รัฐธรรมนูญรับรองเรื่องเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ในการลงมติไว้ ในอดีตมี ส.ส.พรรคอนาคตใหม่โหวตสวนมติพรรคอยู่หลายครั้ง แต่เรียกมาพูดคุยและให้ชี้แจง แต่ในกรณีที่โหวตสวนมติพรรคทั้งที่มติพรรคดำเนินตามนโยบายที่หาเสียง ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะพรรคชูนโยบายเรื่องจัดการมรดกของ คสช.และมาตรา 44 นี่คือการทำตามนโยบายพรรค และถ้าสมาชิกพรรคได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. นั่นหมายความว่าประชาชนเลือกคุณตามนโยบายของพรรค ส.ส.ที่โหวตสวนมติพรรค จึงต้องพิจารณาตัวเองว่าคุณได้รับการเลือกตั้งด้วยตัวคุณเอง หรือได้รับเลือกตั้งจากนโยบายที่แหลมคมของพรรค หรือทรัพยากรของพรรคที่ลงไปทุ่มในการหาเสียงที่ผ่านมา แน่นอนที่สุด หากยังโหวตไม่ตรงตามมติพรรค ครั้งต่อไปคงส่งเลือกตั้งกันไม่ได้ จริงๆ ควรจะลาออกจากพรรคไปด้วย ส่วนพรรคจะขับออกจากสมาชิกหรือไม่ อย่างไร จะพิจารณากันในคณะกรรมการบริหารและที่ประชุม ส.ส.ต่อไป
    นายปิยบุตรกล่าวถึงกรณีการตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบจากคำสั่ง คสช. และมาตรา 44 ไม่สำเร็จว่า ในส่วนของ กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ที่ตนเป็นประธาน ยืนยันว่า กมธ.ชุดนี้มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่จะไปพิจารณาประกาศ คสช.ได้ เราจะตั้งคณะกรรมการเดินหน้าพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป ส่วนงานนอกสภา พรรคจะเดินหน้าทำงานกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนจากประกาศ คสช. และการใช้อำนาจมาตรา 44 เราจะผนึกกำลังกับภาคประชาชน จัดตั้งคณะกรรมการภาคประชาชน ทำกันเอง โดยพรรคจะร่วมเดินกับพี่น้องประชาชนเช่นเดียวกัน รณรงค์ในการยกเลิก ทบทวน แก้ไขประกาศ คสช.ใน 5 ปีที่ผ่านมา. 
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"