เมื่อวานเขียนถึงประสบการณ์การสร้างชาติหลังสงครามของญี่ปุ่น, เกาหลีใต้และเวียดนามเป็นตัวอย่างที่ประเทศไทยควรจะต้องนำมาสรุปเป็นบทเรียนเพื่อก่อร่างสร้างชาติกันอย่างจริงจัง
ผมยืนยันว่าคนไทยเรายังขาดวินัยและความขยันและกระตือรือร้นพอที่จะแข่งขันกับเพื่อนบ้าน
ทั้งๆ ที่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นกลายเป็นผุยผง เพราะถูกถล่มด้วยระเบิดปรมาณู
เป็นช่วงเดียวกันกับที่จีนตกอยู่ในสภาวะยุ่งเหยิงวุ่นวายและแตกแยก
แม้เมื่อ เหมา เจ๋อตุง ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปี 1949 หลังสงครามสงบลงได้ไม่นาน แต่ใครที่ไปเมืองจีนตอนนั้น (ผมไปครั้งแรกเมื่อปี 1975) ก็จะเห็นว่าจีนตกอยู่ในภาวะแร้นแค้นยากจน
ขณะนั้นมองไม่เห็นวี่แววว่าจีนภายใต้คอมมิวนิสต์จะสามารถสร้างประเทศให้ร่ำรวยรุ่งเรืองได้อย่างวันนี้
ถึงกับมีการเสียดสีด้วยวลีที่ว่า “คอมมิวนิสต์ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน...นั่นคือจนเท่าๆ กัน”
เป็นช่วงจังหวะเดียวกันที่เกาหลีใต้ก็กำลังหาหนทางที่จะก้าวพ้นจากความยากจน เพราะถูกญี่ปุ่นยึดครองและกดขี่เป็นเวลาหลายร้อยปี
ในช่วงนั้น ไต้หวันก็ยังเป็นเกาะที่มีปัญหาความแร้นแค้นไม่น้อย
ในช่วงจังหวะนั้นใครไปไต้หวันก็จะรับรู้ปัญหาโสเภณีที่ระบาดกว้างไกลบนเกาะไต้หวัน เพราะผู้คนไม่มีอันจะกิน ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อความอยู่รอด
ไม่ต้องพูดถึงเวียดนาม ซึ่งต้องตกอยู่ภายใต้สภาวะสงครามมายาวนานจนสหรัฐยอมแพ้สงครามเมื่อไซ่ง่อนแตกในปี 1975
แม้เมื่อเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมชาติในช่วงหลังสงครามสงบลง เราก็ยังมองไม่เห็นร่องรอยของการพัฒนาประเทศให้ก้าวกระโดดได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจอย่างที่เราเห็นกันวันนี้
วันนี้ไม่ว่าจะเป็นจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และเวียดนามอยู่แถวหน้าของเศรษฐกิจโลก
แต่เรายังติดอยู่กับ “กับดักรายได้ปานกลาง” มายาวนาน ไม่สามารถจะขยับขึ้นสู่ความเป็นประเทศพัฒนาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เพราะเราไม่เอาจริงเอาจังกับการจัดการกับปัญหาของเราเอง และยิ่งเมื่อเผชิญกับความขัดแย้งทางการเมือง แบ่งพวกแบ่งเหล่า แบ่งสีแบ่งค่าย ไทยก็ไม่อาจจะก้าวพ้นอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงได้
ครั้งหนึ่งเราเคยฝันจะเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมกลุ่มใหม่ที่เรียกขานกันว่าเป็น NICs (Newly Industrialized Countries) เช่นเดียวกับญี่ปุ่น, เกาหลีใต้และไต้หวัน
แต่ถึงวันนี้ก็ยังเป็นฝันลมๆ แล้งๆ อยู่
ยิ่งเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านอันเกิดจากความ “ป่วน” ของเทคโนโลยีเราก็ยิ่งตกอยู่ในสภาวะที่สับสนและงุนงง เพราะ “ภูมิต้านทานเดิม” ของเราไม่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เมื่อเจอกันแรงกระแทกใหม่ที่เราไม่มีความพร้อมที่จะตั้งรับก็ยิ่งจะกลายเป็นปัญหาหนักหน่วง
เราพูดถึง Thailand 4.0 บ่อยครั้ง แต่เราไม่รู้ว่าจะบรรลุเป้าหมายนั่นอย่างไร
เราต้องการจะสร้างประเทศให้พัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม แต่เราไม่ยอมแก้กฎหมายและกฎเกณฑ์ระเบียบที่ล้าหลังคร่ำครึ
เราอ้างว่าเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่เราไม่สร้างนักการเมืองที่มีคุณภาพ
เราต้องการจะสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์และความสร้างสรรค์ให้เหมาะกับกระบวนการ digital transformation แต่เรายังเกาะติดอยู่กับระบบอุปถัมภ์เก่า
เราต้องการจะให้ประเทศไทยก้าวหน้าพัฒนาทันชาติอื่นๆ แต่เรายังไม่อาจจะสลัดความคิดคับแคบที่อ้างว่าเป็น “ความรักชาติ” ทั้งๆ ที่ความจริงมันอาจจะเป็นเพียง “ความคิดแบบม้าลำปาง” เท่านั้น
เราสร้างคนเก่งระดับโลกไม่ได้เพียงพอ แต่เราก็ยังกีดกันไม่ให้คนเก่งจากข้างนอกเข้ามาทำงานในประเทศเรา
เราต้องการให้คนไทยสร้างนวัตกรรมสมัยใหม่ แต่เราไม่ยอมก้าวพ้นกรอบความคิดเก่าๆ
เราอยากไปถึงดวงดาว และเราไม่กล้าก้าวออกจากเขตคุ้นเคย หรือ comfort zone ของเรา
เมื่อเราเห็นจุดแข็งของเวียดนามที่ผลักและดันให้เขาวิ่งฉิวในหลายๆ ด้าน ก็ได้เวลาที่คนไทยจะลงมือวิเคราะห์จุดอ่อนของเราเพื่อลุกขึ้นก้าวให้พ้นมายาคติทั้งหลายทั้งปวงได้เสียที.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |