(ภูษิต พัฒนปราการ)
เป็นเจ้าพ่อแฟชั่นที่หนุ่มๆ เห็นแล้วยังต้องแต่งตาม สำหรับแฟชั่นไอคอนอย่าง ป๋าตึก-ภูษิต พัฒนปราการ ที่แม้อายุอานามจะเข้าหลัก 67 ปี แต่ว่าฝีไม้ลายมือด้านการแต่งตัวกลายเป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการหยิบจับแฟชั่นย้อนยุคมาแมตช์เข้ากับเสื้อผ้าการแต่งกายในยุคสมัยใหม่ ที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร อย่างเสื้อเชิ้ตพิมพ์ลายสดใส ที่ผสานเครื่องแต่งกายท่อนล่างโทนสีเรียบ แต่แอบเปรี้ยวด้วยการใส่แว่นตาสีสด แถมไม่ลืมกระชากวัยด้วยรองเท้าผ้าใบวัยรุ่นสุดแจ่ม สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นความสุขจากการรักการแต่งกายที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร
รวมถึงสไตล์การพูดคุยที่เป็นกันเองและแฝงอารมณ์ขัน ที่สอดแทรกประสบการณ์ความรู้การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหญ่ ที่ถ่ายทอดไปยังคู่สนทนาได้อย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะประโยคเด็ดชวนคิดถึง การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุขโดยไม่จำเป็นต้องมีเงินทองมากมาย เพราะสุขภาพที่ดีนั้นสำคัญมากกว่าทรัพย์สมบัติ แต่ที่เวิร์กกว่านั้น ในบทสนทนาของ ป๋าตึก บอกชัดเจนเกี่ยวกับการเดินรอยตามเคล็ดลับของคุณพ่อคุณแม่เจ้าตัว ซึ่งอายุยืนแตะหลัก 90 ทั้งเรื่องของ DNA และการมีอารมณ์ขัน หรือการมองโลกในแง่บวกที่เงินไม่สามารถซื้อได้ สิ่งที่เกิดขึ้นถือได้ว่าเป็นไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของแฟชั่นไอคอนรุ่นใหญ่ ที่เจ้าตัวยึดถือมาจากผู้นำครอบครัว และใช้ชีวิตในทุกๆ วันอย่างมีความสุขกายสุขใจ กระทั่งเป็นแบบอย่างเรื่องการแต่งกายให้กับวัยรุ่นวัยหลานได้อินเทรนด์ตาม
ป๋าตึก บอกว่า “สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรามีอายุที่ยืนยาว คือการหมั่นดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยเฉพาะการไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพราะเราอายุมากแล้ว ก็เป็นโรคของคนแก่ค่อนข้างจะครบถ้วน ทั้งเบาหวานและความดันโลหิตสูง แต่ทั้งนี้ คุณหมอบอกว่าสุขภาพของเราอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ได้รุนแรงหรือไม่เลวร้าย ประกอบกับเรารับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ก็ทำให้ไม่น่าเป็นห่วงมาก เพราะเราอายุมากแล้ว ยิ่งถ้าเราไม่ดูแลสุขภาพก็จะยิ่งทำให้แย่ไปใหญ่ เพราะใครจะมาดูแลเรา ลูกๆ ก็ต้องมีหน้าที่การงานเป็นของตัวเอง ดังนั้นถ้าเราดูแลตัวเองได้เนิ่นๆ ก็ต้องทำครับ ซึ่งทางที่ดีเราต้องไปพบแพทย์ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญก็ควรจะต้องหมั่นเช็กความดันโลหิตและน้ำตาลด้วยอุปกรณ์ที่เราสามารถทำเองได้ เพื่อที่เราจะได้ทราบถึงความรุนแรงของโรคที่เราเป็น และทำให้ไปหาหมอได้ทันเวลา
ส่วนการเลือก “อาหาร” ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะพ่อกับแม่ป๋าตึกที่อายุกว่า 90 ปีทั้งคู่ จะสอนอยู่เสมอว่า เวลาที่เราอายุที่เพิ่มขึ้นนั้นก็จะทำให้เรากินน้อยลงเป็นปกติอยู่แล้วทั้งอาหารหรือผลไม้ เหมือนว่าเรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องควบคุมอาหารมากเกินไป แต่ให้เราระวังเรื่องหวาน มัน เค็ม ที่จำเป็นต้องกินให้น้อยลง และสิ่งที่ทำให้ป๋าคิดว่าตัวเองน่าจะมีอายุที่ยืนยาวเหมือนพ่อแม่ คงเป็นเรื่องของยีน หรือ DNA แต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องการใส่ใจสุขภาพ เพราะเราก็อายุมากขึ้นแล้ว” ป๋าตึก บอกอีกว่า “สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้อายุยืนยาว นอกจากกรรมพันธุ์ในครอบครัวแล้ว คือการ “อารมณ์ดี” ส่วนตัวป๋าเป็นคนชอบสนทนา ชอบคุยกับคนอื่น เพราะเราถือว่าการได้คุยกับคนเป็นความสุขของเรา เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าถ้าป๋าเป็นเศรษฐีและนั่งอยู่บนหอคอย ก็คงไม่เอาแน่นอน เพราะว่าจะทำให้เรารู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว ตรงกันข้าม แค่การที่เราได้นั่งคุยกับลูกเกี่ยวกับการทำมาหากินอย่างไร ก็เท่ากับว่าเราได้แชร์ประสบการณ์และเรียนรู้ในองค์ความรู้ใหม่ๆ จากคนรุ่นลูกหลานแล้ว เพราะเวลาที่เราอายุมาก แม้ว่าเราจะใช้ชีวิตและมีประสบการณ์ที่มากอย่างไรก็ตาม หรือแม้แต่ความรู้ที่เราเรียนจากมหาวิทยาลัย สิ่งเหล่านี้ก็ให้โยนทิ้งไป และหันมาอัพเดตความรู้และวิทยาการใหม่ๆ ที่เข้ามาอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญอย่าคิดว่าประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมานั้น เราประสบความสำเร็จแล้ว ป๋าอยากขอให้เราสลัดทิ้งความรู้สึกนี้ออกไป
“ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าเรื่องของการทำธุรกิจค้าขายเสื้อผ้าในปัจจุบันนั้น ถ้าเราอยากให้คนเข้ามาดูสินค้าของเราเป็นหมื่นๆ คน ก็ต้องสื่อสารผ่านทางโซเชียล เพราะถ้าเราเปิดขายหน้าร้าน คนที่เข้ามาดูของเราก็อาจจะน้อยลง สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงถือเป็นความรู้ใหม่ๆ จากพลังของการใช้โซเชียลอย่างถูกวิธี ซึ่งคนรุ่นใหญ่อาจจะต้องเรียนรู้และตามโลกให้ทันในเรื่องนี้ เพื่อที่จะได้คุยกับคนรุ่นลูกหลานได้ โดยที่เด็กๆ นั้นไม่เบื่อเรา สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ เราต้องหัวเราะให้ได้ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม เพราะคุณย่าของป๋าที่อายุเกือบ 100 ปี มักจะบอกเสมอว่าอารมณ์ดีเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเวลาที่มีอารมณ์แย่ๆ เข้ามากระทบเราก็ต้องรีบตัดออกไปให้เร็วที่สุด
อีกทั้งข้อดีของการที่เราเป็นคนพุทธนั้น เรามีหลักคำสอนที่บอกไว้ว่า เวลาที่ทุกข์เราก็ทุกข์ไม่นาน และเวลาที่เราสุขเราก็สุขไม่นานเช่นกัน สิ่งเหล่านี้มันทำให้เรารู้ความจริงของชีวิต ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่ไม่อนิจจัง หรือไม่มีสิ่งใดที่อยู่ถาวร ดังนั้นเราจึงไม่ควรเอาตัวเองเป็นที่ตั้งหรือเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะองค์ความรู้เก่าๆ ของเรา แต่ทางที่ดีเราต้องรู้จักเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต เพราะอย่าลืมว่าโลกหมุนรอบตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเราอายุมากขึ้นต้องรู้จักฟังเด็กๆ พูด ยกตัวอย่างเวลาที่ป๋านั่งเงียบ นั่นแปลว่าเรากำลังฟังลูกพูด และสิ่งที่เขาพูดก็เป็นสิ่งที่เขาห่วงใยเรา อยากให้เรามีสุขภาพที่ดี ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องกลับกัน เพราะเมื่อสมัยที่ลูกเป็นเด็ก ลูกจะนั่งฟังเราสอนเรื่องคุณธรรมจริยธรรม แต่เมื่อเราโตขึ้น ป๋าเลยบอกว่าเราต้องฟังลูกบ้าง เพราะไม่ใช่เรื่องการดูแลสุขภาพอย่างเดียว แต่เนื่องจากโลกในปัจจุบันเป็นยุคไฮเทค ดังนั้นถ้าเราไม่อยากตกยุค และเรียนรู้เท่าทันความคิดของเด็กยุคใหม่ เราก็ต้องเปิดใจรับฟังในสิ่งที่เด็กๆ รุ่นใหม่พูด”
วิธีคิดในแง่ของการไม่หยุดอยู่กับที่ ขณะเดียวกันก็เปิดใจเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ เมื่อเข้าสู่วัยชราว่าน่าสนใจแล้ว แต่การไม่หยุดแอคทีฟเมื่ออายุ 60 ปี ก็เป็นสิ่งที่คนวัยเกษียณอีกหลายๆ คนสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตได้ เพราะ ป๋าตึก บอกเสียงดังฟังชัดว่า เป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่งๆ โดยเฉพาะหากวันไหนที่ไม่มีงาน เป็นต้นว่า ไม่ได้ไปถ่ายโฆษณา หรือสัมภาษณ์พูดคุยกับคนอื่น กระทั่งไม่ได้เป็นวิทยากรให้ความรู้กับผู้อื่น ก็จะไปเปิดท้ายขายเสื้อผ้ามือสองของตัวเองเพื่อแก้เหงา ก็เป็นไอเดียคลายความเครียดที่น่าสนใจ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |