เมื่อวานผมยกเอาข้อความจากสองนักวิชาการที่วิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของไทยและเวียดนาม เพื่อหาข้อสรุปว่าประเทศไทยเราจะต้องตั้งหลัก เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงอย่างไร
ผมเองถือว่าปัจจัยเรื่อง "ความขยัน" และ "ความอดทน" เป็นหัวใจของความแตกต่างระหว่างสองประเทศ
หรือถ้าเปรียบเทียบกับสิงคโปร์และมาเลเซียในอาเซียนเอง เขาก็ขยันกว่าเรา
ไม่ต้องเอ่ยถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ฟื้นจากความหายนะของสงครามได้ ก็เพราะความขยันและวินัยแห่งชาติเป็นหลัก
ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และเวียดนามล้วนเจอสงครามยาวนานและหนักหน่วงที่ทำให้เศรษฐกิจและการเมืองหายนะไปเลยทีเดียว
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หลายๆ ด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่นแย่กว่าไทย
ผมเจอคนญี่ปุ่นรุ่นที่มีชีวิตอยู่ช่วงหลังสงครามใหม่ๆ พวกเขายังแสดงความขอบคุณไทยที่ส่งข้าวไปช่วยให้คนของประเทศเขารอดอดตายในช่วงที่ลำบากที่สุด
คนญี่ปุ่นรุ่นนั้นยังจำรสชาติของข้าวไทยได้อย่างดี มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับความเมตตาของคนไทยถึงวันนี้
เศรษฐกิจญี่ปุ่นถูกทำลายเป็นผุยผงหลังพ่ายแพ้สงคราม โดยระเบิดปรมาณูทำลายเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิอย่างรุนแรงและกว้างขวาง สหรัฐฯ เข้าไปยึดประเทศนั้น เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ตัดแขนตัดขาทางทหารของญี่ปุ่นราบคาบ
คนญี่ปุ่นกัดฟันสร้างชาติใหม่ด้วยความมานะบากบั่น ยอมก้มหน้ารับความพ่ายแพ้ เอาความอึด วินัย และความขยันขันแข็งเป็นหลักในการฟื้นฟูประเทศใหม่
เขาเริ่มด้วยการประหยัด อดออม ถ่อมตน และสำคัญที่สุดคือความมีระเบียบวินัย ขยันขันแข็ง และซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ของตนเอง
เกาหลีใต้ก็เช่นกัน ครั้งหนึ่งเขาเคยล้าหลังกว่าไทยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความมุมานะและขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ จนสามารถสร้างสังคมใหม่ที่พร้อมจะก้าวกระโดดไปสู่ความเป็นหนึ่งใน NICs หรือ Newly Industrialized Countries
เคียงคู่กับญี่ปุ่น, ไต้หวัน และฮ่องกง
ทั้งสองประเทศกำหนดทิศทางของการสร้างชาติด้วยวิสัยทัศน์แนวเดียวกัน
นั่นคือการก้าวเข้าสู่ประเทศที่มีนวัตกรรมผ่านการสร้างสมเทคโนโลยี
ตัวอย่างของการสร้างแบรนด์ระดับโลกผ่านการวิจัยและพัฒนาทางเทคโนโลยีคือ
ญี่ปุ่นมียี่ห้อ Sony เกาหลีใต้มี Samsung
ทั้งสองยี่ห้อประจำชาติเกิดได้ด้วยการทุ่มเทการศึกษาวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจังต่อเนื่อง
ทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เริ่มด้วยการลอกเลียนแบบตะวันตกก่อน (เช่นเดียวกับจีนที่เดินตามแนวเดียวกันในอีกหลายสิบปีต่อมา...และเวียดนามก็กำลังเจริญรอยตามในทางเดียวกัน)
สมัยผมเป็นเด็กๆ พ่อแม่จะบอกเสมอว่าสินค้าญี่ปุ่นมีคุณภาพแย่ ใช้ไม่กี่ครั้งก็จะเสีย สู้สินค้าจากเยอรมนีและอเมริกาไม่ได้
ซึ่งก็เป็นความจริงอยู่หลายสิบปีหลังสงคราม
แต่เขาตัดสินใจสร้างชาติด้วยการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่เพื่อสร้างคน
เพราะการสร้างชาติต้องเริ่มที่สร้างคน
เมื่อสร้างนักคิดนักประดิษฐ์นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรได้จำนวนหนึ่งแล้ว เขาก็เริ่มให้วิจัยและพัฒนาสินค้านวัตกรรมของตนเองหลังจากเรียนรู้จากชาติอื่นที่ก้าวหน้ากว่า เช่น สหรัฐฯ และยุโรป
จากการลอกเลียนและก๊อบปี้ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็สร้างสินค้าของตนเอง
เริ่มปรับปรุงคุณภาพอย่างจริงจังด้วยการตั้งเป้าว่าจะต้องเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ "สินค้าคุณภาพต่ำ ราคาถูก ใช้ไม่กี่วันก็เสีย" เป็น "สินค้าที่มีคุณภาพไม่แพ้ของตะวันตก แต่ราคาจะถูกกว่า"
นั่นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความพยายามปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตลอดเวลาอย่างเอาจริงเอาจัง
ความสำเร็จเช่นนั้นไม่ได้มาง่ายๆ...ต้องเกิดจากวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นตั้งแต่ผู้นำระดับชาติ ไปถึงเอกชนที่แข็งขันกล้าเสี่ยงกล้าทดลอง และนักวิชาการที่ทำงานวิเคราะห์วิจัยอย่างทุ่มเทและกล้าวิพากษ์วิจารณ์และนำเสนอ
การปฏิรูปการศึกษาและการเปิดกว้างสำหรับความคิดใหม่ๆ....พร้อมจะล้มเหลว พร้อมจะเรียนรู้จากความผิดพลาดและเริ่มต้นใหม่อย่างทรหด
นั่นคือสูตรความสำเร็จของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กับไต้หวันในช่วงเปลี่ยนผ่าน
ก่อนที่จีนและเวียดนามจะเดินตามรอยนั้น...พร้อมกับการเสริมด้วยเทคโนโลยีและการปรับตัวให้ทันกับ "ความป่วน" หรือ disruption ที่มาพร้อมกับยุค digital
พรุ่งนี้วิเคราะห์เรื่องนี้ต่อเพื่อจะหาข้อสรุปว่า ประเทศไทยจะสามารถยกระดับความสามารถของการแข่งขันได้จริงจังอย่างไร?
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |