วันก่อนผมอ่านเจอข้อความของ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เพิ่งไปตั้งวงคุยกับเอกอัครราชทูตไทยประจำเวียดนามว่าด้วยจุดแข็งของประเทศนั้น ที่มีส่วนทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่ากำลังแซงหน้าประเทศไทยในหลายๆ ด้าน
ตอนหนึ่งของ "คำเตือน" จากอาจารย์อ่านได้ความว่า
"ตื่นเถิดชาวไทย!!! สรุปการบรรยายของท่านทูตไทยประจำเวียดนาม ท่านธานี แสงรัตน์ อะไรทำให้เวียดนามวิ่งฉิวและสามารถดึงดูดทุนต่างชาติ FDI ไหลเข้าจนแซงไทย แถมยังมีการพัฒนานวัตกรรมจนติดอันดับโลก Global Innovation Index (GII) ชนะไทยแลนด์!!!"
อาจารย์อักษรศรีสรุปจากการพูดคุยกับท่านทูตไทยประจำเวียดนามว่า จุดแข็งของเวียดนามมีดังนี้
-การเมืองนิ่ง/มีเสถียรภาพ (เหตุเพราะเวียดนามเป็นประเทศคอมมิวนิสต์)
-มียุทธศาสตร์ชาติและนโยบายมีทิศทางชัด มี vision ว่าจะทำ Industrialization เป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก
-คุณภาพแรงงาน/ขยัน/วัยหนุ่มสาวกระตือรือร้นใฝ่เรียนรู้
-เทคโนโลยีเริ่มพัฒนา
-Location (ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์) เชื่อมโยงการลงทุนจากประเทศอื่นในเอเชีย เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น
-นโยบาย FDI (Foreign Direct Investment หรือการลงทุนจากต่างชาติโดยตรง) จัดโปรโมชันแรง ตั้งเขตนิคมฯ กระจายมากขึ้น
อาจารย์เสริมว่าด้วยเหตุผลเหล่านี้ เวียดนามจึงกลายเป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีจุดอ่อนจากปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ทันสมัยและทั่วถึง
"แต่เวียดนามก็โตแบบวิ่งฉิว" คือข้อสรุปของอาจารย์อักษรศรี
ในวันเดียวกันนั้น ผมก็อ่านเจอบทวิเคราะห์ของ ดร.สันติธาร เสถียรไทย หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจของ Sea Group ใน The Standard เปรียบเทียบจุดอ่อนและจุดแข็งของไทยทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
และหนึ่งในประเด็นคือ การเปรียบเทียบจุดแข็งและจุดอ่อนของไทยกับเวียดนามเช่นกัน
ดร.สันติธารเขียนไว้ตอนหนึ่งว่า ไทยนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับอาเซียนอื่นแล้วก็มีจุดแข็งที่ People (ทักษะมนุษย์) แต่อ่อนที่ Analytical (ความสามารถทางวิเคราะห์)
ตอนหนึ่ง ดร.สันติธารเขียนว่า
จากข้อมูลแบบสำรวจคนรุ่นใหม่ในอาเซียนอายุ 15-35 ปี โดยบริษัท Sea และ World Economic Forum ที่มีข้อมูลถึง 56,000 คน (เป็นเยาวชนไทยประมาณ 10,000 คน) มีคำถามหนึ่งให้คนเลือกว่าตนเองมีความเชี่ยวชาญในแต่ละทักษะระดับใด (เลือกได้ตั้งแต่ไม่มีทักษะนี้เลย มีบ้าง จนถึงเชี่ยวชาญมาก)
ผลปรากฏว่าข่าวดีก็คือเยาวชนไทยเกิน 50% คิดว่าตนเองพอมีความเชี่ยวชาญอยู่บ้างในทักษะแห่งอนาคตทั้ง 3 กลุ่ม โดยเฉพาะด้านทักษะที่เกี่ยวกับ People Skills เราค่อนข้างโดดเด่นกว่าประเทศอื่นในอาเซียน
โดยคนไทย 75% คิดว่าตัวเองมีความเชี่ยวชาญทักษะด้านนี้เทียบกับค่าเฉลี่ยอาเซียนอยู่ที่ 71%
ซึ่งจุดเด่นที่สุดคือเรื่องของการสื่อสารและทักษะทางอารมณ์ ซึ่งสมกับการเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยวและบริการ อีกทั้งยังสอดคล้องกับการที่สังคมไทยมักถูกมองว่ามี Service Mindset ที่ดี แม้บางครั้งภาษาต่างประเทศอาจไม่แข็งแรงนัก
แต่ข่าวร้ายคือคนไทยดูจะไม่ค่อยมั่นใจในทักษะอีก 2 กลุ่มเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มเรื่องการคิดวิเคราะห์และเชิงวิพากษ์ โดยคนไทยเพียง 60% คิดว่าตนเองพอมีทักษะด้านนี้ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่อยู่ 71% อย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ในกลุ่มทักษะด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรม เยาวชนก็ดูจะไม่มั่นใจเท่าคนในประเทศอื่นๆ โดย 66% ของคนไทยบอกว่าเชี่ยวชาญทักษะนี้เทียบกับค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่ 74%
คำถามที่น่าคิดต่อคือ ทำไมทักษะแห่งอนาคต 2 กลุ่มนี้จึงดูเหมือนจะเป็นจุดอ่อนของเรา เช่น เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันสะท้อนระบบการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับ "การเชื่อฟัง ท่องจำ ทำข้อสอบ" แต่ไม่ได้สนับสนุนการคิดวิเคราะห์ การหามุมมองที่แตกต่าง การค้นคว้าพิสูจน์หลักฐาน การทดลองไอเดีย รวมไปถึงการคิดนอกกรอบแบบที่จะช่วยสร้างเสริม "กล้ามเนื้อ" การวิเคราะห์ คิดเชิงวิพากษ์ และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และอาจไม่ใช่แค่ระบบการศึกษาที่มีปัญหานี้ แต่เริ่มตั้งแต่แนวทางการอบรมสั่งสอนเด็กของบุพการีไปจนถึงวิธีการบริหารของผู้ใหญ่ในองค์กรต่างๆ หรือไม่
อีกข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจคือ เยาวชนของประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่มักจะมีความมั่นใจในทักษะแต่ละกลุ่มใกล้เคียงกัน คือถ้าสัดส่วนคนที่คิดว่าตนเองเชี่ยวชาญทักษะด้านการวิเคราะห์สูง ก็มักจะมีสัดส่วนคนที่มั่นใจในทักษะด้านนวัตกรรมและ People Skills ไปด้วย
แต่ประเทศไทยและเวียดนามเป็นสองกรณียกเว้นอย่างชัดเจน และในทางตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง
"ในขณะที่เยาวชนไทยดูจะเชี่ยวชาญในทักษะด้าน People แต่ไม่ค่อยมั่นใจเรื่องการวิเคราะห์และการสร้างสรรค์นวัตกรรม คนรุ่นใหม่ของเวียดนามกลับมั่นใจในสองทักษะหลัง แต่กลับคิดว่าตนเองอ่อนปวกเปียกด้าน People Skills โดยมีสัดส่วนแค่ 55% ที่คิดว่าตนเองมีความเชี่ยวชาญด้านนี้ ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในอาเซียน"
ดร.สันติธารเขียนต่อว่า
"ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่วิเคราะห์เวียดนามด้วย ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่านี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่แม้เวียดนามจะโดดเด่นในด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง แต่ในด้านบริการ เช่น บุคลากรท่องเที่ยว อาจถือว่ายังสู้ประเทศไทยไม่ได้ในวันนี้"
แง่มุมจากทั้งสองท่านน่าสนใจมาก ควรแก่การวิเคราะห์ต่อเนื่องเพื่อนำมาปรับทิศทางการพัฒนาเยาวชนไทยกันต่อไป.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |