เมื่ออเมริกาออกกฎหมาย “ปกป้องประชาธิปไตยฮ่องกง” มีหรือที่จีนจะอยู่เฉยๆ ได้
ดังนั้นเราคงจะหวังได้ว่าวอชิงตันกับปักกิ่งจะต้องแลกหมัดกันอีกรอบหนึ่งในทุกๆ มิติ
นั่นแปลว่าความหวังที่จะ “พักรบ” สงครามการค้าระหว่างสองยักษ์ใหญ่กำลังจะเลือนหาย
ทั้งๆ ที่เดิมมีข่าวว่าทรัมป์กับ สี จิ้นผิง ได้บรรลุความเข้าใจที่จะประกาศหยุดรบชั่วคราวด้วยการพักรบเฟส 1 ก่อนเส้นตายวันที่ 15 ธันวาคมนี้
แต่พอทรัมป์ลงชื่อในร่างกฎหมายที่รัฐสภาสหรัฐผ่านด้วยเสียงล้นหลาม สี จิ้นผิง ก็ย่อมจะต้องถอยไปตั้งหลักใหม่
ไม่ใช่ถอยหนี, แต่เป็นการถอยสู้
เกมนี้สร้างความลำบากใจให้กับผู้นำจีนยิ่งนัก
เพราะ สี จิ้นผิง ไม่ได้ต้องการจะลากสงครามนี้ให้ยืดเยื้อไปอีก พร้อมจะประนีประนอมกับทรัมป์ด้วยการยอมซื้อสินค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้นตามที่ต่อรองกัน
แต่นั่นย่อมจะอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าสหรัฐต้องไม่ยกเอาเรื่องฮ่องกงมาเป็นข้อต่อรอง
เพราะสำหรับจีนแล้ว ฮ่องกงเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองและความมั่นคง
หากจีนยอมอ่อนข้อต่อคำเรียกร้องของผู้ประท้วง ปักกิ่งก็กลัวว่าจะเป็นการส่งสัญญาณว่าผู้นำจีนไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านเสียงผู้ประท้วงของฮ่องกง
หากเกิดที่ฮ่องกงได้ ก็ย่อมจะลามไปถึงจุดอื่นๆ ในจีนได้ ไม่ว่าจะเป็นซินเจียงหรือทิเบต
ยิ่งกว่านั้นในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ไต้หวันด้วย การหาเสียงจึงจับประเด็นเรื่องฮ่องกงเป็นหนึ่งในหัวข้อหลัก
หาก สี จิ้นผิง ทำท่าอ่อนข้อเรื่องฮ่องกง อาจจะมีผลต่อการหย่อนบัตรเลือกตั้งของไต้หวันที่จะโอนเอียงไปทางด้านพรรคที่ยืนกรานไม่ยอมจีนแผ่นดินใหญ่ได้เช่นกัน
ทรัมป์เองก็ไม่ได้อยากจะฟาดฟันกับ สี จิ้นผิง เพิ่มเติม แต่การเมืองภายในของสหรัฐบังคับให้ทรัม์ปต้องยอมตามกระแสต่อต้านจีนในสภาคองเกรส
ร่างกฎหมายฮ่องกงผ่านการโหวตทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอเมริกันด้วยคะแนนท่วมท้นเกือบ 100% มีไม่กี่เสียงเท่านั้นที่เห็นต่าง
ที่สำคัญคือ ส.ส. และ ส.ว. ในคองเกรสที่สังกัดพรรครีพับบลิกันนั้นเองเป็นคนเสนอร่างกฎหมายนี้และยกมือให้ผ่านอย่างล้นหลาม
หากทรัมป์ไปเซ็นให้กฎหมายนี้ผ่าน เขาก็จะมีปัญหากับพรรครีพับลิกัน
และหากทรัมป์ทำให้คนในพรรคนี้รู้สึกไม่ปลื้ม หรือถูกมองว่าทรัมป์เลิกสนใจเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนแล้ว ทรัมป์ก็จะตกที่นั่งลำบาก
ลำบากแรกคือระดมทุนเพื่อช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองได้ยากขึ้น
ลำแรกที่สองคือ ทรัมป์อาจเสียฐานคะแนนเสียงในหลายๆ รัฐที่เคยสนับสนุนตน เพราะกรณีร่างกฎหมายฮ่องกง
และลำบากที่สามคือ จะทำให้พรรคเดโมแครตที่คอยขม้ำอยู่แล้วหาเรื่องโจมตีเขาว่าเป็นคนไร้หลักการ ยอมให้จีนข่มขู่ และไม่ปกป้องผลประโยชน์ของธุรกิจและการลงทุนของสหรัฐในฮ่องกงและต่างประเทศ
ภาพที่เห็นง่ายๆ คือทรัมป์ยอมตามใจ สี จิ้นผิง เรื่องไม่แตะฮ่องกงไม่ได้
ขณะเดียวกัน สี จิ้นผิง ก็จะยอมให้อเมริกาออกกฎหมายที่กดดันจีนอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน
ผลที่ตามมาก็คือ ความตึงเครียดระดับโลกกำลังจะเพิ่มดีกรีขึ้นในปีหน้านี้อย่างชัดเจน
นั่นแปลว่าเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวค่อนข้างแรงในปีนี้จะเจอแรงกดดันทางลบเพิ่มขึ้นอีก
จึงมองได้ต่อไปว่า ประเทศไทยจะเจอผลกระทบทางลบเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ที่แย่อยู่แล้วปีนี้ก็จะแย่หนักขึ้นในปีหน้า.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |