2 ธ.ค.62-ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเหตุสภาล่มหลังจากมีการลงมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบประกาศ และคำสั่งคสช.และคำสั่งหัวหน้าคสช.ตามมาตรา44 ว่า  สะท้อนความอ่อนแอ ไร้เสถียรภาพของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งเป็นผลพวงของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีกติกาเลือกตั้งบิดเบี้ยว จนเกิดรัฐบาลผสมเกือบ 20 เสียง ขาดเอกภาพและเป็นช่องทางให้นักการเมืองไร้อุดมการณ์นำเก้าอี้ส.ส. มาต่อรองผลประโยชน์ เวลาที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ดังใจก็ป่วนหรือทำตัวเป็นงูเห่าเพื่อต่อรอง หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญการเมืองไทยก็จะมีสภาพเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ 

"พรรคร่วมฝ่ายค้านที่วอล์คเอ้าต์จนองค์ประชุมไม่ครบ ไม่ใช่การป่วนสภา แต่ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยที่มีการทำผิดข้อบังคับการประชุมสภา เพราะที่ประชุมจะขานชื่อองค์ประชุมใหม่ ซึ่งเข้าข่ายการโหวตใหม่ ถือว่าผิดข้อบังคับเนื่องจาก ข้อบังคับการประชุมสภาข้อที่ 85 ระบุให้สามารถนับคะแนนใหม่ได้ หากคะแนนของทั้ง 2 ฝ่ายต่างกันไม่เกิน5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 25 เสียง แต่การนับใหม่ ไม่ได้แปลว่าโหวตใหม่ หรือลงคะแนนใหม่ ซึ่งตามหลักการแล้วต้องนับคะแนนจากกล่องเดิม หรือจากองค์ประชุมเดิม จึงจะเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับที่กกต.ใช้ในการนับคะแนนเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะเอาคะแนนจากหีบเลือกตั้งเดิมมานับใหม่ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเท่านั้น ในการประชุมสภาครั้งหน้า จึงขอเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนญัตตินับคะแนนใหม่ดังกล่าวออกไป เพื่อแสดงสปิริตทางการเมือง หรือหากจะยังคงมติเดิมไว้ ก็ต้องทำให้ถูกต้องตามข้อบังคับ คือ ต้องเป็นการนับใหม่จริง ๆ ไม่ใช่ลงคะแนนครั้งใหม่ ไม่อย่างนั้น ก็เท่ากับเป็นการโกงมติ"

รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ขอให้ส.สพรรครัฐบาล คำนึงถึงภาพลักษณ์ของรัฐสภา ที่อาจถูกมองว่า มีความพยายามบิดเบือนหลักการของสภาเพื่อปกป้องคนบางคนไม่ให้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ซึ่งปรากฏการณ์สภาล่มที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มีรูปแบบคล้ายๆกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมาธิการปปช. ซึ่งมีสาเหตุเดียวกันคือ การป่วนและยอมเสียหลักการเพียงเพื่อปกป้องการตรวจสอบคนๆเดียว ซึ่งหากสมาชิกรัฐสภาไม่ช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ อาจทำให้ชาวต่างชาติและคนไทย มองว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยเพียงแค่รูปแบบ แต่เนื้อแท้คือเผด็จการ