วันที่ 1 ธ.ค. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) จัดเสวนาเรื่อง “คณะกรรมาธิการรัฐสภา ประชาชนหวังพึ่งพาได้แค่ไหน” โดยมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย นายกษิต ภิรมย์ อดีตรมว.การต่างประเทศ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะ กรธ.การกฎหมาย การยุติธรรม และ สิทธิมนุษยชน สภาฯ น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานกมธ.การสื่อสารมวลชน โทรคมนาคม ดิจิตอล และ เศรษฐกิจ สภาฯ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสป.ยธ. นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ตั้งแต่โตขึ้นมาสนใจการเมือง และไม่เคยเห็นว่ากมธ.มีบทบาทเท่ากับปัจจุบัน จึงเกิดคำถามว่าทำไมจู่ๆทำไมคนจึงมาสนใจ ทั้งนี้ ตนเห็นว่าสถานการณ์สภามีเสียงปริ่มน้ำ จึงทำให้บทบาทฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านมีความสนใจเท่าๆกัน ดังนั้นคนที่สนใจฝ่ายค้านก็สนใจ ก็จะติดตามภารกิจ และทำอะไรแปลกใหม่ๆเพิ่มขึ้น อย่างเช่นกมธ.การกฎหมายฯ จากเดิมเคยแต่ทำแต่เรื่องร้องเรียน แต่ปัจจุบัน กมธ.สามารถใช้สื่อออนไลน์ ผ่านการไลฟ์สด โดยรายงานประเด็นที่น่าสนใจเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ
ทั้งนี้ กมธ.ไม่มีอำนาจยุ่งเกี่ยวกับคดีความ แต่เราสามารถเรียกฝ่ายต่างๆเข้ามาชี้แจงเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินคดี หรือบางครั้งกมธ.ยังเป็นพื้นที่ให้คู่กรณี 2 ฝ่ายมาประนีประนอมให้เกิดความเข้าใจตรงกันและเรื่องยุติและจบลงในชั้นกมธ.
“ดิฉันเชื่อว่า 10 ปีที่ผ่านมาเพราะการเมืองเกิดความขัดแย้งสุดขั้วประชาชนหมดศรัทธาในระบบประชาธิปไตย และระบบรัฐสภา ดังนั้น กมธ. 35 คณะหากพร้อมใจทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเรื่องทุจริต รวมทั้งสะท้อนให้เห็นว่าคนที่มาอยู่ในกมธ.เดียวกัน ที่ประกอบร่วมกันหลายพรรคการเมืองสามารถทำได้และแก้ปัญหาให้บ้านเมืองได้สำเร็จ ก็จะฟื้นศรัทธาให้ประชาชนมั่นใจในระบบประชาธิปไตยและรัฐสภา และเชื่อว่าการยึดอำนาจ และ การลงประท้วงบนท้องถนนเสียเลือดเนื้อก็จะไม่เกิดขึ้น” น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า และยอมรับว่ามีการใช้ตำแหน่งกมธ.มาทำมาหากินจริง
นายกษิต กล่าวว่า ตนคิดว่า 35 คณะ เป็นการแบ่งเค้ก หลังจากหลายคนตกสำรวจไม่ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการ ส่วนตัวคิดว่าควรปรับให้กมธ.ลดลง เพราะบางคณะซ้ำซ้อนกัน และเปลี่ยนมาทำในเรื่องที่เกิดปัญหาของประเทศ 4-5 ประเด็น โดยลดคณะกมธเหลือ ประมาณ 20 คณะ อาทิ ทำในเรื่องการสร้างความปรองดอง การแก้ปัญหาความเหลื่อล้ำในด้านต่างๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา การแพทย์ ที่อยู่อาศัย ระบบสาธารณปโภคไม่ทั่วถึง กระบวนการยุติธรรม รวมทั้งปฏิรูประบบข้าราชการ กองทัพ ตำรวจ เพื่อให้ข้าราชการอย่าทำตัวเป็นเจ้านาย แต่ต้องเป็นขี้ข้าประชาชน
นอกจากนี้ ยังมีพวกหากินกับกมธ. ที่เข้าไปเป็นที่ปรึกษา โดยเฉพาะร้อยละ70 ไม่ใช่ส.ส.ไม่ได้เรื่อง และคนที่เข้าไปไม่ตอบสนองของการแก้ปัญหาต่างๆ บางคนเป็นเด็ก ในพรรค หรือ ลิ่วล้อเข้าไปต้องการมีชื่อติดบัตร เพื่อเข้าไปของานต่างๆ ไปเบ่งที่นู้นเบ่งที่นี้ ดูว่ามีโครงการอะไรที่เข้าไปมีส่วนรวมได้ หรือไม่ และหากโชคดีก็ไปดูงานเมืองนอก ถือเป็นการคอรัปชั่นประเภทหนึ่ง
“ กมธ.ใช้ข้าราชการตัวเล็กเป็นกระสอบทรายเช่นกรณี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไม่มาชี้แจงกรธ.เพราะมองว่าเป็นเวทีประหัตประหาร จึงทำให้ กมธ.ได้ระบายอารมณ์ข้าราชการที่มาแทนนายเพื่อหวังให้ข้าราชการดังกล่าวไปบอกเจ้าของพวกเขา รวมทั้งเรื่องบางเรื่อง ที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ควรจะทำให้โปร่งใส มิใช่อ้างว่าเป็นความลับ”
น.ส.กัลยา กล่าวยอมรับว่าในสมัยก่อน กมธ.เป็นอย่างที่นายกษิตพูด เช่นการตั้งคนในเข้ามากมธ.เพื่อต้องการบัตรกมธ.เพื่อทำมาหากิน หรือ บางคนมีคนฝากเข้ามา ตนดูเคยตรวจคุณสมบัติไม่ตรงกับคณะตัวเอง ตนก็ปฏิเสธมาแล้ว รวมทั้งยังเคยถูกคนแอบอ้างเอานามบัตรมาแสดงเป็นที่ปรึกษากมธ. ทั้งที่ตรวจสอบแล้วไม่มีเคยมีการแต่งตั้งก็มี นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การแบ่งกมธ. มีการแบ่งเค้ก ข้อดีมีการกระจายให้ทั่วถึง แต่ข้อเสียทำให้คนที่เข้าไปได้ไม่ตรงกับเชี่ยวชาญ ส่งผลให้งานใจกมธ.ไม่มีประสิทธิภาพ และบางครั้งยังมีการจัดกมธ.แบบต่างตอบแทน รวมทั้งมีกมธ.บางคนที่เป็นข่าวขณะนี้ทำแต่เรื่องส่วนตัว แต่ไม่ได้ทำเรื่องส่วนรวม และการทำงานของกมธ.ในบางชุด ตัวประธาน ก็มีเรื่องที่สนใจ และมุ่งทำเรื่องส่วนตัว ขณะที่สื่อมวลชนก็ชอบนำเสนอเรื่องเหล่านี้ด้วย อีกทั้ง ยังกมธ.ยังไม่ทำหน้าที่โดยยึดความเป็นกลาง ใช้เวทีอัดฝ่ายตรงข้าม ส่วนพวกเดียวกันก็ไม่ตรวจสอบ แถมยังยอมรับความถูกต้องอีกด้วย
พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า การทำงานกมธ.ไม่ควรเป็นความลับ และไม่มีการบันทึก ถือเป็นความชั่วร้าย ที่คนทุจริต กลัว ทั้งที่คนสุจริตต้องกล้าเปิดเผย เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าไปนั่งฟังตลอดเวลา จะทำให้ระบบตรวจสอบได้ดีขึ้น และปิดโอกาสการซูเอี๋ย อีกทั้ง ไม่ต้องการให้ประธานกมธ. สามารถครอบงำการทำหน้าที่สมาชิกได้ และการใช้คำสั่งเรียกต้องประสิทธิภาพและให้ตัวจริงมา ขณะที่การทำงานไม่ต้องรอผู้ร้อง แต่สามารถทำงานเชิงรุกไปแก้ปัญหาได้ทันที
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |