คนเกลียด'ลุงตู่'วูบ ซูเปอร์โพลเจ้าเก่าเผยเสียงสนับสนุนรัฐบาลเริ่มเงยหน้าสูง


เพิ่มเพื่อน    


    ซูเปอร์โพลตอกย้ำทฤษฎีแก้วสามใบ ชี้แนวโน้มฐานสนับสนุนของประชาชนต่อรัฐบาลเริ่มเงยหน้าสูงขึ้น คนไม่เอารัฐบาลน้อยลง กลุ่มคนยุค Baby Boom กับ Gen Z ยังเป็นกำลังหลัก คนต่างจังหวัดเริ่มรัก "บิ๊กตู่" มากกว่าคนกรุงเทพฯ 
    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง แนวโน้มจุดยืนการเมืองประชาชน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,098 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20-30 พฤศจิกายน พ.ศ.2562 ที่ผ่านมา 
    พบว่า    แนวโน้มฐานสนับสนุนของประชาชนต่อรัฐบาลเริ่มเงยหน้าสูงขึ้นหลังจากตกต่ำลงตั้งแต่ช่วงหลังเลือกตั้งเป็นต้นมา คือ ร้อยละ 23.3 ในเดือนเมษายน, ร้อยละ 10.1 ในเดือนกรกฎาคม,  ร้อยละ 17.1 ในเดือนกันยายน, ร้อยละ 14.1 ในเดือนตุลาคม และขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 25.6 ในการสำรวจล่าสุดเดือนพฤศจิกายน โดยสาเหตุหลักมาจากมาตรการชิมช้อปใช้ และมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลในการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ของประชาชน 
    ที่น่าพิจารณาคือ จำนวนของผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาลลดลงจากร้อยละ 42.2 ในเดือนตุลาคม มาอยู่ที่ร้อยละ 25.4 ในการสำรวจล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 
    อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังเงียบยังคงเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในทุกช่วงเวลาของการวัดคือ ร้อยละ 56.1 ในเดือนเมษายน, ร้อยละ 55.5 ในเดือนกรกฎาคม, ร้อยละ 46.0 ในเดือนกันยายน, ร้อยละ 43.7 ในเดือนตุลาคม และล่าสุดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 49.0 ในเดือนพฤศจิกายน
    เมื่อจำแนกออกตามกลุ่มช่วงอายุ หรือ Generation ต่างๆ พบว่า กลุ่มคนสูงอายุหรือ Gen Baby Boom+ เป็นกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลมากที่สุด คือร้อยละ 28.6 ในขณะที่กลุ่ม Gen Z ยังเป็นกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลน้อยสุดคือร้อยละ 17.9 
    อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือกลุ่ม Gen Y ที่สนับสนุนรัฐบาล มีสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล คือร้อยละ 26.8 ต่อร้อยละ 22.6 ในขณะที่กลุ่ม Gen X กลับมีกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลมากกว่า คือร้อยละ 28.0 ต่อร้อยละ 23.9
    นอกจากนี้ เป็นที่น่าพิจารณาเช่นกันว่า กลุ่มคนรายได้น้อยคือรายได้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน มีฐานสนับสนุนรัฐบาลมากกว่ากลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล คือร้อยละ 28.3 ต่อร้อยละ 25.8 และกลุ่มคนเริ่มทำงานใหม่อัตราเงินเดือนช่วง 10,0001-15,000 บาท เกินกว่า 1 ใน 3 หรือร้อยละ 36.1 ที่สนับสนุนรัฐบาลมากกว่ากลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาลที่มีอยู่ร้อยละ 27.2 และเป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มคนรายได้สูงตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป มีสัดส่วนของคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลมากกว่ากลุ่มสนับสนุน คือร้อยละ 31.1 ต่อร้อยละ 14.8  
    ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ กลุ่มคนต่างจังหวัดเริ่มสนับสนุนรัฐบาลมากกว่ากลุ่มคนกรุงเทพมหานคร คือร้อยละ 29.1 ต่อร้อยละ 22.0 ในขณะที่กลุ่มคนกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 28.3 ไม่สนับสนุนรัฐบาล มีสัดส่วนมากกว่าคนต่างจังหวัดที่มีอยู่ร้อยละ 22.4 
    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดลกล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้กำลังตอกย้ำทฤษฎีแก้วสามใบ ที่แต่ละแก้วมีนัยสำคัญทางการเมืองคือ สนับสนุนรัฐบาล ไม่สนับสนุนรัฐบาล และพลังเงียบ และแก้วแต่ละใบมีทั้งน้ำและตะกอน โดยในส่วนของน้ำไหลเวียนเปลี่ยนแก้วได้เพราะยังไม่ตกตะกอน ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนได้อะไรจากนโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล เช่น ชิมช้อปใช้ที่พรรคพลังประชารัฐผลักดัน การประกันราคาพืชผลทางการเกษตรที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังทำให้เกิดผล เป็นต้น 
    "จึงมีความเป็นไปได้ว่าเมื่อประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้ประโยชน์ที่จับต้องได้ ย่อมส่งผลทำให้น้ำในแก้วไม่หนุนรัฐบาลไหลไปลงในแก้วใบอื่นคือแก้วสนับสนุนรัฐบาล และแก้วพลังเงียบ แต่กลุ่มที่เป็นฮาร์ดคอร์ตะกอนเหนียวในแก้วไม่สนับสนุนรัฐบาลยังคงเหมือนเดิม ไม่ไหลเวียนเปลี่ยนใจไปเป็นแก้วใบอื่น" ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดลกล่าว
    นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ วิปฝ่ายค้าน เปิดเผยถึงการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า ที่จริงทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทำงานต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและทีมงานร่วมรัฐบาลมายาวนาน แต่ไร้ฝีมือ ยิ่งทำเศรษฐกิจยิ่งแย่ ประชาชนยากจนลงล่าสุดถึงกับออกมายอมรับว่าหมดนโยบายในการแก้ปัญหาแล้ว
       ประเด็นนี้เป็นที่ชัดเจนว่า ปัญหาประเทศที่เกิดขึ้นและไร้ทางแก้เกิดมาจากรัฐธรรมนูญ ที่ออกมาแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจเพียงอย่างเดียวไม่สนวิธีการ ทำให้ได้รัฐบาลที่อ่อนแอ พรรคการเมืองอ่อนแอ รวมทั้งได้รัฐบาลผสมเข้ามา เกิดการต่อรองผลประโยชน์มากกว่าจะต่อรองเรื่องนโยบายการแก้ปัญหาให้กับประชาชน
        เขากล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้น ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องรับผิดชอบ เพราะไม่มีความสามารถและไม่มีฝีมือในการบริการประเทศ ด้วยการลาออก รวมทั้งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกจากตำแหน่งด้วย เพราะตัวพลเอกประยุทธ์ทำงานด้านการบริหารจัดการที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนได้
        "พรรคร่วมฝ่ายค้านพยายามที่จะนำเสนอข้อมูลแนวทางแก้ปัญหาให้ประชาชน ผ่านทางรัฐสภา ทั้งการตั้งกระทู้สด ทั้งการนำเสนอญัตติมาโดยตลอด แต่รัฐบาลไม่สนใจที่จะรับฟังปัญหา โดยเฉพาะพลเอกประยุทธ์ ไม่ให้ความสนใจที่จะเข้ามารับฟังและแก้ปัญหาตามคำเสนอแนะของพรรคร่วมฝ่ายค้าน"
    นายสมคิดชี้ว่า การปรับ ครม.ไม่ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่น อยู่ที่นโยบายที่รัฐออกมาไม่สามารถปฏิบัติได้ เพราะติดปัญหารัฐธรรมนูญไม่เปิดโอกาสให้ทำได้ ดังนั้นอย่ามาร้องโอดครวญ เอาใครมาทำก็ทำไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลออกแบบมาเป็นปัญหา การที่พลเอกประยุทธ์ไปพูดกับประชาชนว่าเป็นคนดี เข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ อยากถามว่าพลเอกประยุทธ์พูดเพื่ออะไร การที่บอกว่าใครเป็นคนดี คนอื่นต้องพูด ไม่ใช่ตัวเองพูด พลเอกประยุทธ์ต้องยอมรับว่าวันนี้เศรษฐกิจแย่จริงๆ ตัวเลขที่ออกมาจากหน่วยงานรัฐออกมาพิสูจน์ว่าแย่จริงๆ 
    "ไม่เกี่ยวว่าเป็นคนดี-ไม่ดี การทำงานต่างหากจะบอกว่าท่านเป็นคนอย่างไร แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่าท่านไม่ดีจริง และนักลงทุนทั่วโลกไม่เชื่อมั่นในตัวพลเอกประยุทธ์มากกว่า” นายสมคิดกล่าว
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงนามในหนังสือด่วน ที่ สผ 0001/2578 วันที่ 28 พ.ย.2562 เรื่องข้อปฏิบัติในการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ โดยหนังสือดังกล่าวเรียนไปยังผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
    หนังสือระบุว่า ตามท่านขอสอบถามข้อปฏิบัติในการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ เพื่อป้องกันปัญหาอันอาจมีการโต้แย้ง การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ ความละเอียดแจ้งแล้วนั้น
    ในการนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้นำความกราบเรียนประธานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแล้ว ให้เรียนว่าตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 154 บัญญัติให้การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 151 มาตรา 152 หรือมาตรา 153 แล้วแต่กรณีให้กระทำได้ปีละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ คำว่า "ให้กระทำได้ปีละหนึ่งครั้ง" หมายความว่าปีวาระของสภาผู้แทนราษฎร ที่รวมทั้งสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัยในหนึ่งปี และสมัยประชุมวิสามัญ โดยมิได้พิจารณาจากปีปฏิทิน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"