เมื่อประมาณ ปี 2560 เคยมีข้อมูลของสถาบันวิจัยป๋วย อึ้งภากรณ์ ที่ร่วมกับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ได้ทำการศึกษา Big Data Analytics และพบว่า คนไทยเป็นหนี้เร็วขึ้น เป็นหนี้นานขึ้น และมีมูลหนี้มากขึ้น และเมื่อแยกย่อยลงในรายละเอียด ยังพบอีกว่า “คนไทยเป็นหนี้เสียตั้งแต่อายุยังน้อย” อีกด้วย โดยฐายข้อมูลของเครดิตบูโร พบว่า ครึ่งหนึ่งของคนอายุราว 30 ปี มีหนี้สิน โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้สินเชื่ออุปโภคบริโภค หนี้บัตรเครดิต และถ้าดูคนไทยที่มีหนี้เสีย หรือหนี้ค้างชำระมากกว่า 3 เดือน ก็จะพบอีกว่า ลูกหนี้ที่อยู่ในช่วงอายุ 29 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนวัยทำงานและอยู่ในช่วงวางรากฐานที่สำคัญให้ครอบครัว เป็นลูกหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน มากถึง 1 ใน 5
และล่าสุด “ศูนย์วิจัย TMB Analytics” ที่ได้ออกมาเปิดเผยถึงผลการศึกษาพฤติกรรมการเงินจากข้อมูลโซเชียลมีเดียของคน GEN Y ส่วนใหญ่มีความฝันสร้างอนาคตที่ดีและมั่นคง อยากมีบ้าน รถ และเงินออม แต่ความเป็นจริงห่างไกล สาเหตุจากติดกับดักค่าใช้จ่าย “ของมันต้องมี” ทำให้ในแต่ละปีกลุ่ม GEN Y ต้องเสียเงินรวมกันสูงถึง 1.37 ล้านล้านบาท คิดเป็น 13% ของจีดีพี ซึ่งเทียบได้กับมูลค่าลงทุนในพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ในระยะ 5 ปี หรือ 8 เท่าของมูลค่าโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โดยพร้อมแนะเพื่อให้ GEN Y มีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ว่า GEN Y 1.4 ล้านคนเป็นหนี้ ซึ่งเป็นหนี้เสียคิดเป็น 7% ของยอดหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) รวมจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า กลุ่ม GEN Y (อายุ 23-38 ปี) มีการกู้ 7.2 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 50% ของ GEN Y ทั้งหมด มีภาระหนี้อยู่ที่ 4.23 แสนบาทต่อคน ที่น่าสังเกตคือ 20% ของ GEN Y ที่กู้ หรือ 1.4 ล้านคนเป็นหนี้ผิดนัดชำระ ซึ่งคิดเป็น 7.1% ของสินเชื่อทั้งหมดที่มีการผิดนัดชำระ
เพียงเพราะทัศนคติเหล่านี้ ทั้งบริโภคนิยม ตัดสินใจซื้อแบบไม่ต้องคิด ความสุขซื้อได้ด้วยประสบการณ์ ซึ่งเป็นที่มาของประโยคยอดฮิต “ของมันต้องมี”
นริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร TMB Analytics ให้รายละเอียดถึงผลจากการสำรวจพฤติกรรมของ GEN Y บนโซเชียล ว่าความหวัง “ของมันต้องมี” ก่อนอายุ 40 คือ อยากมีบ้าน 48%, รถยนต์ 22% ขณะที่อยากมีเงินออมและสินทรัพย์อื่นๆ มีไม่มาก อยู่ที่ 13% แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับ GEN Y เมื่อวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลจากการศึกษา พบว่ามียอดใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าของมันต้องมีถึง 69% ขณะที่รายการซื้อบ้าน ซื้อรถที่เป็นความฝัน มีสัดส่วนที่ลดลงมาก รวมทั้งสัดส่วนเงินออมมีไม่ถึง 10%
โดยเฉลี่ย GEN Y หมดเงินไปกับ “ของมันต้องมี” ปีละเกือบแสน หรือ 1 ใน 4 ของรายได้ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นการซื้อโทรศัพท์ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กระเป๋า และนาฬิกา/เครื่องประดับ โดยสาเหตุที่ GEN Y อยากได้ “ของมันต้องมี” เป็นเพราะซื้อตามเทรนด์กลัวเอาต์ 42% มากกว่ามองเป็นของจำเป็น 37% แถมเงินที่ใช้ซื้อนั้น คนส่วนใหญ่ 70% บอกมีเงินไม่พอ แต่ใช้การกู้จากธนาคารและใช้บัตรเครดิตกับบัตรกดเงินสดในการใช้จ่าย ซึ่งเมื่อลงรายละเอียดพบว่ามากกว่า 70% ของ GEN Y มีการผ่อนชำระที่ต้องเสียดอกเบี้ย
นอกจากนี้ GEN Y มีลักษณะเข้าทำนองฝันไกลแต่ไปไม่ถึง สะท้อนจาก GEN Y ที่เริ่มต้นทำงานเฉลี่ยตั้งเป้าอยากมีเงินเก็บ 6 ล้านบาท แต่บอกจะออมเงินแค่เฉลี่ยเดือนละ 5,500 บาท ซึ่งถ้าเก็บด้วยอัตรานี้ต้องใช้เวลาถึง 90 ปี จึงจะถึงเป้าหมาย
ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกพฤติกรรมทางการเงินและทัศนคติของ GEN Y พบว่า GEN Y ที่มีพฤติกรรมการใช้จ่าย “ของมันต้องมี” น้อยกว่าเงินเก็บมีสัดส่วน 53% ขณะที่กลุ่มที่มีพฤติกรรมค่าใช้จ่าย “ของมันต้องมี” มากกว่าเงินเก็บอยู่ที่ 47% แม้สัดส่วนน้อยกว่าอีกกลุ่ม แต่เมื่อคิดเป็นจำนวนแล้วมีถึง 6.8 ล้านคน จึงเป็นสิ่งต้องให้ความสำคัญอยู่ และหากผ่าโครงสร้างทางการเงินของ GEN Y สามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม GEN Y “ของมันต้องได้ แต่เงินไม่มี” ขณะที่กลุ่ม GEN Y “ของมันต้องมี และเก็บเงินได้”
อย่างไรก็ดี GEN Y จะต้องทำอย่างไรหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไรเพื่อนำไปสู่การมีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีหรือมีวินัยทางการเงิน สิ่งแรกที่แนะนำคือ ลดเงินที่ใช้กับ “ของมันต้องมี” ลงแค่ 50% (เชื่อว่าลดหมด 100% เป็นไปได้ยาก) ควบคู่กับวางแผนการบริหารเงินให้ดีโดยเพิ่มการออมการลงทุนให้ถูกที่ แค่นี้ GEN Y จะมีเงินสะสมเพิ่มขึ้น 4.3 หมื่นบาทต่อปี เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี 20 ปี หรือยาวไป 30 ปี ก็จะสามารถซื้อทรัพย์สินตามที่เคยตั้งความหวังไว้ได้ไม่ยาก.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |