พิพากษาคดีฟอกเงินปล่อยกู้กรุงไทย "พานทองแท้" รอด-ไม่รอด แต่ลุ้นก่อนสเต็ปแรก จะมาฟังคำตัดสินจันทร์ 25 พ.ย.นี้หรือไม่ หรือจะซ้ำรอย "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" แต่ "เสี่ยไก่-วัฒนา" ประสานเสียงคนเพื่อไทยการันตีไม่หนี มาแน่ พร้อมแห่ให้กำลังใจ
วันจันทร์ที่ 25 พ.ย.นี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91หลังพบว่ามีการโอนเช็คเข้าบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร จำนวน 10 ล้านบาท จากอดีตผู้บริหารกลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร ที่ได้รับอนุมัติเงินกู้จากบอร์ดธนาคารกรุงไทย ในช่วงนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
บนการจับตามองจากหลายฝ่ายว่า สุดท้ายแล้วนายพานทองแท้จะเดินทางมาปรากฏตัวเพื่อฟังคำพิพากษาดังกล่าวหรือไม่ และผลคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร
ด้านแหล่งข่าวทีมทนายความของนายพานทองแท้ระบุว่า ไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับคดีนี้ได้ ส่วนที่นายพานทองแท้จะไปฟังคำพิพากษาหรือไม่อย่างไรนั้น ก็ไม่ได้มีการยืนยันมา จึงไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ที่ผ่านมาในชั้นไต่สวนพยานได้มีการเตรียมการทำงานกันมาทั้งหมด ทางทีมทนายความจะไปฟังคำพิพากษากันในวันที่ 25 พ.ย.อยู่แล้วตามหน้าที่ ขอให้รอฟังคำพิพากษาดีกว่า ยังไม่ขอเปิดเผยอะไรทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับแหล่งข่าวจากทีมทนายความที่ว่าความให้กับนายพานทองแท้อีกคนที่ขอสงวนชื่อ ก็อ้างว่า "ไม่หนีๆ ไปแต่เช้า"
ขณะที่นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่มักเดินทางไปให้กำลังใจนายพานทองแท้เวลาไปที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ และมักออกมาชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ แทนนายพานทองแท้ในคดีปล่อยกู้กรุงไทยตลอดเวลา กล่าวว่า ในวันที่ 25 พ.ย. จะเดินทางไปให้กำลังใจนายพานทองแท้ ชินวัตร ที่จะเดินทางไปรับฟังคำตัดสินคดีฟอกเงินกู้สินเชื่อแบงก์กรุงไทย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีการนัดหมายกัน แต่คาดว่าจะเดินทางไปเพื่อแสดงน้ำใจ สปิริต และให้กำลังใจนายพานทองแท้
"คิดว่านายพานทองแท้ยังอยู่ในประเทศไทย และจะเดินทางไปฟังคำพิพากษา เพราะเจ้าตัวเองก็ยืนยันว่าบริสุทธิ์และจะสู้ต่อ" นายวัฒนากล่าว
ขณะที่นักการเมืองจากพรรคเพื่อไทยอีกบางส่วนก็บอกว่าจะเดินทางไปร่วมให้กำลังใจนายพานทองแท้ในวันที่ 25 พ.ย.นี้ และมองว่านายพานทองแท้คงไม่คิดตัดสินใจใดๆ อย่างที่ถูกจับตามองว่าอาจจะไม่ไปปรากฏตัวที่ศาล เพราะมองว่าคดีในชั้นศาลอาญาคดีทุจริตฯ ตามกฎหมาย กว่าคดีจะสิ้นสุดก็ 3 ศาล ยังมีการให้ยื่นอุทธรณ์และฎีกาได้ แม้ขั้นตอนจะยากกว่าคดีอาญาทั่วไป แต่ที่ศาลนัดวันที่ 25 พ.ย.นี้ เป็นแค่ศาลชั้นต้น จึงทำให้นักการเมืองเพื่อไทยหลายคนบอกกันว่าพร้อมจะเดินทางไปให้กำลังใจนายพานทองแท้
ลุ้น"โอ๊ค"ฟังคำพิพากษา
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า ในช่วงก่อนจะถึงวันนัดอ่านคำพิพากษา 25 พ.ย. พบความเคลื่อนไหวว่าเรื่องดังกล่าว สมาชิกพรรคเพื่อไทยต่างติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และ ต่างมีมุมมองแบ่งออกเป็นสองส่วน มีทั้งพวกที่คิดว่านายพานทองแท้จะไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยวิเคราะห์ในแง่รัฐศาสตร์ ที่ตกเป็นเป้าหมายทางการเมือง ขณะที่อีกส่วนมั่นใจว่าจะเดินทางมาฟังคำพิพากษา เพราะดูตามข้อเท็จจริงนายพานทองแท้ไม่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน พร้อมกับนัดแนะที่จะเดินทางไปให้กำลังใจ ซึ่งเป็นสายที่สนิทสนมกับนายพานทองแท้และคนในครอบครัวชินวัตร
แหล่งข่าวจากนักการเมืองที่เป็นหนึ่งในคนใกล้ชิดนายพานทองแท้เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพบนายพานทองแท้ ก็ยังมีกำลังใจดี ไม่ได้แสดงความกังวลใดๆ ออกมา ส่วนที่นายพานทองแท้ไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหว ห่างหายไปจากหน้าสื่อและโลกออนไลน์นั้น คงเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากออกมาให้ความเห็นใดๆ เลยทำให้เกิดข่าวลือไปต่างๆ ก็เหมือนกับช่วงก่อนๆ ที่คิดกันคาดการณ์กันจะไม่มาศาลบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังมาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นในวันที่ 25 พ.ย. นายพานทองแท้จะเดินทางมาศาลอย่างแน่นอน ไม่มีเหตุอันใดที่จะไม่มา
อนึ่ง ความเกี่ยวข้องทางคดีที่นายพานทองแท้เข้าไปเกี่ยวข้องในคดีปล่อยกู้กรุงไทยโดยมิชอบ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการสอบสวนเรื่องคดีปล่อยกู้กรุงไทยตั้งแต่ในชั้นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่มีการสอบสวนเรื่องดังกล่าว จนต่อมามีการเอาผิดอดีตผู้บริหารและบอร์ดกรุงไทยที่ร่วมพิจารณาปล่อยเงินกู้ร่วมกว่า 9,000 ล้านบาทให้กับผู้บริหารกลุ่มกฤษดามหานคร อีกทั้งในชั้นสอบสวนของคตส. มีการสอบสวนขยายผลไปถึงกลุ่มคนใกล้ชิดนักการเมือง ที่โยงไปถึงอดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร ในข้อหาฟอกเงินและรับของโจร แต่ในชั้น ป.ป.ช.และอัยการ เมื่อมีการส่งสำนวนไป มีการเสนอให้แยกการสอบสวนออกมาต่างหาก สำหรับกลุ่มคนใกล้ชิด-เครือญาตินักการเมือง เพราะไม่สามารถส่งฟ้องต่อศาลฎีกานักการเมืองได้ ต้องแยกสำนวนออกมา
จนต่อมาศาลฎีกาตัดสินจำคุกอดีตผู้บริหารกรุงไทยและกลุ่มผู้บริหารกฤษดามหานครหลายคน และจากนั้นดีเอสไอสอบสวนขยายผลเรื่องคดีฟอกเงินปล่อยกู้กรุงไทย ส่วนคดีรับของโจร ขาดอายุความ เพราะพบว่ามีการกระทำความผิดเมื่อปี 2547 จึงสอบสวนคดีฟอกเงินเพียงอย่างเดียว จนสุดท้ายมีการสอบสวนเอาผิดโยงถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร
ต่อมาอัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เพื่อเอาผิด นายพานทองแท้เป็นจำเลยเมื่อ 10 ต.ค.2561 ที่รูปคดีสรุปความได้ว่า การปล่อยเงินกู้ของบอร์ดกรุงไทยให้กับผู้บริหารกลุ่มกฤษดามหานคร บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ปล่อยกู้ช่วงนายทักษิณเป็นนายกฯ พบว่าหลังมีการปล่อยกู้ดังกล่าวก็มีการโอนเช็คจาก
ผู้บริหารของกลุ่มกฤษดามหานครเข้าบัญชีนายพานทองแท้เป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาท
เปิดมูลเหตุเช็ค 10 ล้าน
อย่างไรก็ตาม ในการสู้คดีของนายพานทองแท้และทีมทนายความ ตั้งแต่ชั้นดีเอสไอ อัยการ จนถึงการเบิกความต่อศาล นายพานทองแท้จำเลยคดีฟอกเงินดังกล่าวได้ต่อสู้ทางคดีในประเด็นที่ว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ได้ร่วมลงทุนกับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ บุตรชายของนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร ซึ่งอยู่ระหว่างการรับโทษในเรือนจำ โดยนายพานทองแท้อ้างว่าเงินที่เข้าบัญชีดังกล่าวเกิดจากการจะร่วมลงทุนดำเนินธุรกิจนำเข้ารถยนต์ซูเปอร์คาร์กับนายรัชฎา ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการรับโทษคดีกรุงไทย โดยจะเริ่มทำธุรกิจในช่วงปี 2547 แต่ต่อมาได้ล้มเลิกความคิดการทำลงทุน หลังศึกษาแล้วพบว่าเป็นไปได้ยาก และจะไม่คุ้มเงินลงทุนทางธุรกิจ
ทั้งนี้ เช็คจากอดีตผู้บริหารกฤษดามหานครที่โอนเข้าบัญชีของนายพานทองแท้มี 2 ฉบับ โดยอีกฉบับเป็นเงิน 26 ล้านบาท แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องกรณีดังกล่าว โดยมีการเอาผิดและสั่งฟ้องเฉพาะเรื่องเช็ค 10 ล้านบาท
ซึ่งการทำธุรกรรมดังกล่าวเคยมีความเห็นจากนายศิริชัย วัฒนโยธิน อดีตประธานศาลอุทธรณ์ อดีตรองประธานศาลฎีกา ที่เป็นตุลาการเจ้าของสำนวนคดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ซึ่งศาลฎีกาเคยตัดสินจำคุกอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทยและผู้บริหารกฤษดามหานคร เมื่อปี 2558
อดีตประธานศาลอุทธรณ์ระบุไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตน เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558 ถึงการทำธุรกรรมดังกล่าว ซึ่งสรุปความพอสังเขปได้ว่า การที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ (อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร ที่ได้สินเชื่อกรุงไทยร่วม 9,900 ล้านบาท ผ่านบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จนถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุกในคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย) ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 10 ล้านบาทจากไทยธนาคารเข้าบัญชีนายพานทองแท้ที่ ธ.กรุงเทพ สาขาบางพลัด จนถูก คตส.เข้าตรวจสอบการทำธุรกรรม ต่อมานายพานทองแท้ชี้แจงกับอนุฯ ไต่สวนของ คตส. แต่ตอนนั้นนายพานทองแท้กลับไม่ได้ชี้แจงตอนนั้นว่าทำธุรกิจอะไร หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน จึงได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าเป็นการร่วมลงทุนนำเข้าธุรกิจรถยนต์จากต่างประเทศมาขาย แต่ติดขัดเรื่องขั้นตอนการนำเข้ารถยนต์ใช้เวลานานและสีรถยนต์ไม่ถูกใจ จึงยกเลิกการทำธุรกิจ
คำวินิจฉัยดังกล่าวของนายศิริชัย เห็นว่าหากเป็นเงินร่วมลงทุนทำธุรกิจตามที่อ้าง ก็น่าจะชี้แจงไปตั้งแต่ครั้งแรก และนายพานทองแท้เป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจ ข้ออ้างร่วมลงทุนเพียง 10 ล้านบาท ไม่น่าเชื่อถือ คำชี้แจงขัดต่อเหตุผล ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง อีกทั้งเห็นว่าข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าหลังบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค ได้สินเชื่อจากกรุงไทย ต่อมาจำเลย (นายรัชฎา) ได้นำเงินดังกล่าวไปซื้อหุ้นจองที่เป็นหุ้นต่ำกว่าราคาตลาด ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 420,000 หุ้น ที่หากเก็บไว้จะสามารถทำกำไร แต่นายรัชฎากลับนำหุ้นมาเสนอขายกับพนักงานบริษัท มาสเตอร์โฟนฯ ที่เป็นบริษัทในเครือบริษัทฮาวคัม ที่นายพานทองแท้เป็นประธานกรรมการ จึงเห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลย (นายรัชฎา) ส่อไปในทางต่างตอบแทน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |