![](https://storage.thaipost.net/main/uploads/photos/big/20191124/image_big_5dda213331777.jpg)
ภาพเขาหัวโล้นแถบภาคเหนิอ ที่คนไทยเห็นจนชินตา ผลจากการแผ่วถางป่าเพื่อปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยว การบุกรุกตัดไม้ ทำให้ป่าไม้ถูกทำลาย ทำลายหน้าดินเสียหาย ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พบว่าประเทศไทยมีป่าต้นน้ำเหลืออยู่เพียงร้อยละ 23.01 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ซึ่งภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มีป่าต้นน้ำมากที่สุด ร้อยละ 42.25 ในทางการแก้ปัญหาก็ยังไม่สามารถที่จะลงมือทำและเห็นผลได้ในทันที่ ด้วยปัจจัยหลักคือ คน เพราะผู้ครอบครองพื้นที่ ที่ยังคงใช้ผืนป่าใช้สอยเพื่อประโยชน์ส่วนตน นำไปสู่ปัญหาน้ำป่าไหลหลาก ไฟป่า น้ำท่วม อีกทั้งยังส่งผลด้านสุขภาพจากการได้รับสารเคมีจากการเกษตรสะสม
บ้านแม่ฮ่าง ตำบลนาแก อำเภองาว จังหวัดลำปาง คือหนึ่งในพื้นที่ที่มีเขาหัวโล้นถึงจะไม่มากเท่ากับพื้นที่ภาคเหนืออื่นๆ แต่ก็มีพื้นที่ป่าต้นน้ำกว่า 600ไร่ ป่าใช้สอยอีก 700 ไร่ และพื้นที่ทำกินกว่า 1 พันไร่ ซึ่งส่วนใหญ่ประชากรในพื้นที่ประมาณ 144 ครัวเรือน ปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะข้าวโพด ดังนั้นพื้นที่ 100 ไร่ ของชาวบ้านที่เข้าร่วมในการนำแนวทางศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยรูปแบบ โคก หนอง นาโมเดล มาปรับใช้เพื่อเป็นตัวอย่าง ในการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผืนป่าในไทย ในโครงการวิจัยการออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยการติดตามและประเมินผลเพื่อบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างมีส่วนร่วม ภายใต้โครงการโครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” ปี7 โดยบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัดร่วมกับศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (Integrated TechnologyOperations KMITL (ITOKmitl) และภาคีเครือข่าย
ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรืออาจารย์ยักษ์ นายกสมาคมดินโลก และที่ปรึกษามูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ กล่าวว่า การทำวิจัยในโครงการครั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรได้เห็นถึงประโยชน์ของการนำศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะหัวใจของศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่นอกเหนือไปจากการออกแบบพื้นที่และการทำ โคก หนอง นา คือ การพัฒนาคนซึ่งมีกระบวนการสำคัญ 4 ข้อ คือ เปลี่ยนความคิด เรียนรู้ทักษะ ฝึกให้มีความชำนาญและจัดเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาต่อในอนาคต
![](https://storage.thaipost.net/main/uploads/photos/big/20191124/image_big_5dda2148631d3.jpg)
สำหรับ พื้นที่บ้านแม่ฮ่าง มีชาวบ้านส่วนหนึ่งที่เห็นด้วยกับการทำตามศาสตร์พระราชาจำนวน 10 ครัวเรือน อย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเดิมพื้นที่ส่วนใหญ่ชาวบ้านปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะข้าวโพดจำนวนมาก แม้ว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจ แต่การปลูกแค่ข้าวโพดได้ทำลายสภาวะการเป็นป่าต้นน้ำ ทำให้ความสามารถในการอุ้มน้ำของภูเขาก็หายไป ทำให้เวลาฝนตกก็จะซัดเอาหน้าดินซึ่งเป็นดินที่มีปุ๋ยสมบูรณ์ที่สุด ไหลลงไปจากภูเขาหัวโล้นก็จะขุ่นเป็นโคลน ตะกอนดิน กักเก็บไว้ในหนอง คลอง บึง หรือเขื่อน คิดเป็นปริมาณน้ำฝนไร่ 1 ที่ไหลลงไปยังด้านล่างจาก 2.5 -3 พันคิวบิกเมตร ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 4 พันคิวบิกเมตร ที่ทำให้เกิดการตื้นเขิน ดังนั้นแม้จะสร้างฝาย สร้างเขื่อนก็จะไม่สามารถที่จะเก็บน้ำไว้ได้ นำไปสู่ปัญหาน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และไฟป่า
"การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เราต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ซึ่งตอนนี้มี 7 กลุ่มหลัก ที่ช่วยกันผลักดัน คือ 1.ภาครัฐ 2.ครู ที่มีโรงเรียนกว่า 3 หมื่นโรงเรียน และ อีก 200 มหาลัย ที่จะต้องทำงานวิจัยเกี่ยวกับป่าให้มากขึ้น และพระ ที่มีกว่า 4 หมื่นวัด นับว่าเป็นส่วนที่สำคัญในการชี้นำสังคม 3. ประชาชน ที่มีบทบาทกับพื้นที่และการลงมือทำ 4. ภาคเอกชน ที่จะมีพลังร่วมสนับสนุน 5. สื่อมวลชน มูลนิธิภาคประชาสังคม เชื่ออย่างยิ่งว่าหากเกิดการร่วมมือกันไม่ถึง 10 ปี ปัญหาป่าต้นน้ำจะมีทิศทางที่ดีขึ้น” อ.ยักษ์ กล่าว
![](https://storage.thaipost.net/main/uploads/photos/big/20191124/image_big_5dda2156431cd.jpg)
ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศ สจล. กล่าวว่า ในการลงสำรวจพื้นที่ก่อนทำวิจัยพื้นที่ทั้ง 100 ไร่ ที่ทำตามโมเดล โคก หนอง นา มีชาวบ้านเข้าร่วม 14 ราย ซึ่งเดิมบ้านแม่ฮ่างมีสภาพเป็นภูเขาหัวโล้น ดินเสื่อมสภาพ แข็งจากการใช้สารเคมีมานาน เกิดความแห้งแล้งในพื้นที่ หน้าดินถูกทำลาย กักเก็บน้ำได้ไม่เกิน 10% ของปริมาณน้ำฝนที่ตกลงในพื้นที่ ส่วนรายรับชาวบ้านจากการขายข้าวโพดอย่างเดียวไม่แน่นอน เช่น มีรายได้จากข้าวโพดปีละ 30,000 บาท และมีรายจ่ายเรื่องสารเคมี ซึ่งรายได้ ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละพื้นที่ ที่สำคัญคือ ชาวบ้านขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการจัดการดิน น้ำ ป่า ตามแนวทางศาสตร์พระราชา แต่หลังจากเริ่มทำการวิจัยกว่า 3 ปี จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง ทั้งในเรื่องของดิน พบมีแร่ธาตุ NPK จากสารเคมีลดลง พันธุ์ไม้ และสัตว์หน้าดินเพิ่มขึ้น ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ อุ้มน้ำได้ดี ในส่วนของน้ำ ในพื้นที่วิจัยไม่ตรวจพบสารเคมีตกค้าง สามารถเก็บน้ำใต้ดินโดยเฉลี่ยได้ถึง 45% ของปริมาณน้ำฝนที่ตกลงในพื้นที่ ส่วนที่เหลือจะเก็บในหนอง นา และคลองไส้ไก่ หรือน้ำบนดิน ซึ่งสามารถเก็บได้เกิน 100% ทุกแปลง ด้วยการจัดการน้ำด้วยหลุมขนมครก ในรูปแบบ โคก หนอง นา มีการเน้นการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ครอบคลุมการปลูกต้นไม้ 5 ระดับ คือ สูง กลาง เตี้ย เรี่ยดิน และหัวใต้ดิน รายได้จากการปลูกพืช และการเป็นวิทยากร ลดค่าใช้สารเคมีได้มาก ที่สำคัญคือ คน ที่มีความเข้าใจถึงความสำคัญและสัมพันธ์กันของ ดิน น้ำ ป่า เลิกเผาป่า กลายเป็นจิตอาสา และสามารถต่อยอดเป็นวิทยากร ทุกคนที่เข้าร่วมโครงการวิจัยสามารถให้ความรู้แก่ผู้อื่นได้
“อย่างในพื้นที่ของ นายประวีณ ศิราไพบูลย์พร หรือ ติ่ง ที่มีพื้นที่ 48 ไร่ และได้นำพื้นที่เข้าทดลองเพื่อเป็นตัวอย่างโครงการฯ 10 ไร่ และขยาย เพิ่มอีกประมาณ 11 ไร่ ซึ่งในพื้นที่ที่เหลือก็ยังคงปลูกพืชเชิงเดี่ยว ซึ่งติ่งมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการทำตามแนวศาสตร์พระราชาอย่างมาก ทั้งเป็นผู้นำโคก หนอง นา โมเดล มาออกแบบในพื้นที่ตนเอง ในปีแรกดินในพื้นที่ก็เริ่มมีการฟื้นฟู ต้นไม้ต่างๆเริ่มเจริญงอกงาม ทำให้เขามีโอกาสที่จะทำการขยายไปยังพื้นที่ที่เหลือ และยังเป็นวิทยากรแนะนำให้กับพื้นที่อื่นๆได้ดีอีกด้วย ซึ่งในอนาคตหากผลการวิจัยนี้สมบูรณ์ก็จะมีการนำไปต่อยอดเป็นหลักสูตรในมหาวิทยาลัย และผลักดันให้เกิดการลงมือทำอย่างจริงจังต่อไป” รักษาการผู้อำนวยการฯ กล่าว
![](https://storage.thaipost.net/main/uploads/photos/big/20191124/image_big_5dda2163dabc1.jpg)
ด้านนายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิตจำกัด กล่าวว่า โครงการวิจัยการออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยการติดตามและประเมินผลเพื่อบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างมีส่วนร่วม คิดน่านี้จะเป็นอาวุธสำคัญที่จะเกิดการยอมรับในวงกว้าง รวมไปผู้กำหนดนโยบายมากขึ้นที่ไม่ใช่แค่ในเมืองไทยแต่อาจจะสามารถประยุกต์ใช้ในประเทศอื่นๆที่ประสบปัญหาเหมือนกับประเทศไทยด้วย
นายประวีณ ศิราไพบูลย์พร หรือ ติ่ง ชาวปกาเกอะญอ หมู่ 4 บ้านแม่ฮ่าง ต.นาแก อ.งาว จ.ลำปาง ที่ได้เปลี่ยนพื้นที่ 21 ไร่ ที่เคยเป็นไร่ข้าวโพดให้เป็นป่าใช้สอยจนพึ่งพาตนเองได้ เล่าว่า เมื่อก่อนมีที่เท่าไหร่ก็จะปลูกข้าวโพด ซึ่งปลูกมานานแล้ว เพราะการปลูกรอผลผลิตไม่นาน ซึ่งก็จะมีหนี้อยู่บ้างจากค่าปุ๋ยค่ายา พอมีการอบรมเกี่ยวกับงานวิจัยนี้ก็เข้าร่วมทันที เพราะมีความสนใจ ในการนำศาสตร์พระราชามาปรับใช้ จึงได้มีการปรับพื้นที่ของตนให้เป็นขันบันได และขุดคลองไส้ไก่ ตามแนวเขา เพราะเป็นพื้นที่สูง ซึ่งการทำตรงนี้จะสามารถกักน้ำได้ในร่องคลองไส้ไก่ และยังสามารถนำน้ำจากฝายสู่พื้นที่เกษตรได้ด้วย ในพืชที่ตอนนี้ก็จะพืชต่างๆ อย่างกล้วย ผักสวนครัว ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น และดีใจที่ได้มีโอกาสนำความรู้ไปเผยแพร่ต่อโดยเป็นวิทยากรอบรมในพื้นที่ของการวิจัย
อีกหนึ่งชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการวิจัยฯ นางปนัดดา ปิ่นเงิน หรือแดง ไร่ตะวันแดง หมู่ 4 บ้านแม่ฮ่าง ต.นาแก อ.งาว จ.ลำปาง บอกว่า มีความมุ่งมั่นที่จะปรับพื้นที่ 10 ไร่ จากพื้นทั้งหมด 24 ไร่ ตามโมเดลโคก หนอง นา แทนไร่ข้าวโพดอย่างจริงจัง แม้ในช่วงแรกจะมีความเห็นไม่ตรงกับครอบครัว แต่ตนก็ยังยืนยันที่จะทำ โดยเริ่มต้นจากการปรับพื้นที่ขุดคลองไส้ไก่ เวลาฝนตกจะกักเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับพืชผลได้ และปลูกต้นกล้วย และไม้ผลต่างๆมาเสริม มะม่วง เงาะ โกโก้ อโวคาโด้ และปลูกข้าวภายใน 1 ปี และจากเดิมที่มีหนี้สินจากการทำไร่ข้าวโพด กำไรไม่เยอะ แต่จะมีหนี้ค่ายาค่าปุ๋ย จากหนี้สินกองทุนหมู่บ้าน 30,000 บาท โครงการวิจัยฯก็มาช่วยปลดหนี้ให้ด้วยการทำธนาคารต้นไม้ โดยโครงการวิจัยฯให้ค่าตอบแทนการปลูกต้นไม้ต้นละ 10 บาท เพื่อนำไปชำระหนี้ซึ่งปลูกต้นไม้ไปกว่า 4,000 ต้น ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้กิน ได้ใช้ผลผลิตเหล่านี้ แม้จะมีรายรับที่ยังไม่มากนัก แต่รายจ่ายลดลง ไม่มีหนี้ อีกทั้งจะขยายให้ครบทั้งหมดในพื้นที่ที่มี เพื่อช่วยรักษาดินและป่าด้วย
![](https://storage.thaipost.net/main/uploads/photos/big/20191124/image_big_5dda2177dccc7.jpg)