พิธีกรชื่่อดังฝีปากกล้า จั๊ด-ธีมะ กาญจนไพริน เผยเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบผ่านรายการ วันดีคืนร้าย หลังเปิดยูทูปวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล จนต้องกลายเป็นคนตกงานโดยไม่รู้ตัว พร้อมวิธีการนำเสนอข่าวที่ไม่เมือนใคร
"เป็นดีเจตั้งแต่ปี 2546 ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 3 แล้วจากนั้นก็มีงานดีเจมาเรื่อยๆ แสดงละคร ภาพยนตร์บ้าง จนกระทั่งหมดสัญญากับอาร์เอส ออกมาเป็นดีเจอิสระ ก็ได้โอกาสไปจัดรายการที่คลื่นหนึ่ง ตอนนั้นถ้าใครจำได้ ปี 54 คือปีน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ผมนึกครึ้มอะไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ ก่อนหน้านั้นไปนั่งคุยกับครูลูกกอล์ฟ ซึ่งเป็นรุ่นน้องที่มหาลัย เขาบอกว่าเฮ้ย พี่จั๊ด ตอนนี้ยูทูปเปิดโอกาสให้เราทำคลิปแล้ว ตอนนั้นยูทูปถือว่าใหม่ๆอยู่ ผมก็ลองดู เปิดยูทูปและทำคลิป ซึ่งทำคลิปทำในห้องนอนตัวเองที่บ้าน และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล เรื่องการจัดการน้ำท่วม
ทำคลิปนั้นตอนวันพฤหัสบดี อัปโหลดไปวันพฤหัส ได้รับการตอบรับพอสมควร คนพูดถึง คนเอาไปแชร์ พอวันจันทร์มีโทรศัพท์มาว่าขอยังไม่ให้มาจัดดีกว่า ผมก็รู้ตัวแล้วว่าโดนพักจัดรายการ แต่ปกติการเป็นดีเจ แต่ก่อนก็เคยโดนพักทีนึง พักจัดรายการก็ 1 สัปดาห์ พอผ่านไป 1 สัปดาห์ ผมก็ถามว่าผมเข้าไปทำงานได้หรือยัง เขาบอกว่ายัง จนสัปดาห์ที่ 2 3 4 พักมาหนึ่งเดือนแล้ว ก็คิดในใจว่าคงไม่ใช่การพักแล้วล่ะ คงเป็นการให้ออกแล้วล่ะ แล้วปรากฎว่าช่วงนั้นสถานีวิทยุสถานีนี้ก็อยู่ในช่่วงขาลงด้วย มีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับการจัดการบริษัท ก็เลยกลายเป็นว่าออกและว่างงานเพราะตอนนั้นงานบนหน้าตักเรามันมีอย่างเดียว
การจัดรายการวิทยุถามว่าเพียงพอต่อการดำรงชีพมั้ย ถ้าคนเดียวก็พอ แต่ถ้ารับผิดชอบมีภาระอย่างอื่นด้วยมันก็ไม่เพียงพอ นี่เป็นสาเหตุที่ลูกกอล์ฟลบอกผมว่าต้องลองหางานใหม่ ซึ่งการเปิดโอกาสให้ตัวเองหางานใหม่ งานในวงการบันเทิง มันโทรศัพท์ไปสมัครงานไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่างเราก็นั่งจ้องโทรศัพท์ทั้งวัน ว่าเมื่อไหร่จะมีคนโทรมาเพื่อใช้งานเรา เราก็รู้สึกว่ามันช้าไป ถ้าไม่มีคนจ้างเราเลยจะทำยังไง เราก็เลยเปิดหน้าตรงยูทูป แต่กลายเป็นว่าการเปิดหน้าในยูทูปในคืนนั้นนำมาสู่คืนร้ายคือการตกงาน ไม่มีอะไรเลย ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อนตลอดชีวิตในการทำงานประจำ จัดวิทยุ ตั้งแต่ปี 3 ไม่เคยตกลงงาน เป็นยาวมา เพิ่งมีตอนนี้ที่ไม่มีอะไรเลย
เครียด เพราะรายได้ที่ต้องใช้จ่าย จ่ายตัวเองไม่พอ มีบ้านต้องผ่อน ต้องดูแลคุณแม่ เพราะคุณแม่ไม่ได้ทำอะไร รู้สึกมั้ยว่าไม่น่าทำคลิปนั้นเลยเหรอ ตอนนั้นมีอยู่แล้ว จะบอกว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ เพราะวันที่ไม่มีอะไรบนหน้าตัก โอ้โห มันเคว้งเลย คนเราทำงานทุกวัน จันทร์-ศุกร์ อยู่บ้าน มันเกิดอะไรขึ้น เราจะเอาอะไรมากินต่อไป ตอนแรกๆที่เป็น โอ้โห ไม่น่าเชื่อว่าผลกระทบรุนแรงขนาดนี้ ผมจิตตกได้เดือนกว่าๆ มีโทรศัพท์มาจากสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเป็นสถานีทางการเมืองแหละ เขาก็บอกว่าอยากให้มาจัดรายการ ให้จัดเหมือนในยูทูปนั่นแหละแต่เป็นการพูดข่าว รายการฟ้าทะลายโจร เราก็อยากได้งาน คราวนี้เป็นวิจารณ์ข่าวล้วนๆ แต่มีความยากในเนื้องาน เพราะผมจบนิเทศศาสตร์มา ตอนทำกิจกรรมทั้งหมดในชีวิตที่ผ่านมาผมเน้นสายฮาอย่างเดียว มอบความบันเทิงอย่างเดียว เปิดเพลงคุยให้ตลก เปิดสัมภาษณ์ศิลปิน คราวนี้มันหัก พลิกเลย เราต้องมาจัดรายการวิเคราะห์ข่าวการเมือง 1-2ปีแรก บอกเลยเป็นการทำการบ้านที่หนักมาก
ช่วงไปอยู่สถานีข่าวการเมือง และการเมืองแรงมาก แบ่งเป็นสองฝ่าย ผมอยู่กับแม่และพี่สาว อยู่กันสามคนตั้งแต่เด็ก ที่บ้านไม่แสดงออกถึงความเป็นห่วง ที่บ้านไม่ดูข่าวแบบนี้เขาดูหนังดูละครเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้ดูข่าวจริงจัง มาเริ่มห่วงตอนมีอันตรายเข้ามากระทบ ไม่เคยโดนขู่ แต่เคยหนักสุดคือโดนปาระเบิดเลย ไม่ใช่ระเบิดสังหารนะเป็นระเบิดขู่ๆนี่แหละ เหมือนระเบิดเพลิงที่วัยรุ่นเขาชอบทำกัน เอาขวดใส่น้ำมันแล้วเขวี้ยงใส่บ้าน เอาน้ำมันมาราดตรงหน้าประตูบ้าน ราดแล้วจุดไฟเผาประตู ตั้งแต่วันนั้นที่แม่แสดงความกลัว แม่อยู่ในบ้านทั้งวัน ผมออกมาทำงานไง คุณแม่ไม่นอนบนห้องตอนช่วงเกิดเหตุแรกๆ มานอนเฝ้าประตูบ้าน
ล่าสุดที่ใส่กางเกงในจัดรายการ คือผมพูดถึงเรื่องที่ต้องโหวตร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ แล้วเสียงมันปริ่มน้ำมาก มันก้ำกึ่่งมากเลย ก็เลยบอกว่าส.ส. แต่ละคน ห้ามลุกไปเข้าห้องน้ำนะ เพราะถ้าคุณลุกไปเข้าห้องน้ำแล้ว ตัวประธานสั่งโหวตตอนนั้น ฝั่งคุณเสียคะแนนเลยนะ ผมก็เลยเอาผ้าอ้อมผู้ใหญ่ใส่ บอกว่าคุณส.ส.คุณควรใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ถ้าปวดก็ใส่กลางสภาไปเลย ไม่มีคนรู้ แต่ผมต้องใส่ข้างนอกไงให้คนดูเห็น รายการข่าวช่องวันเราเป็นช่องทีวีดิจิทัล แล้วเป็นทีวีดิจิทัลวาไรตี้ด้วย เราไม่ได้หมายความว่าทั้งวันทั้งคืนมาดูแต่ข่าว แล้วข่าวที่เสนอเป็นข่าวที่หนักเหลือเกิน การเมือง เศรษฐกิจ แบบเครียดๆ ต้องปรับตัว
ตอนแรกไม่คุ้นชินเลยครับ ไม่คุ้นชินกับการเล่าข่าวอาชญากรรมเยอะๆ เรื่องหวยเยอะๆ แต่พอทำไปทำมา เราก็ทราบว่าลักษณะช่องข่าวเป็นอย่างไร เรตติ้งเป็นยังไง คนดูคือใคร ก็ปรับเปลี่ยนมาเรื่อยๆ แต่มีเทปนึงเป็นความฟลุค เป็นเทปที่ผมว่าด้วยการจับตำรวจปลอม มันมีแอปพลิเคชั่นนึงที่สามารถตรวจได้ พิมพ์ชื่อเข้าไปแล้ว Enter มันจะบอกเลยว่าเป็นตำรวจหรือเปล่า สังกัดไหน ผมก็ลองหยิบแอปฯ มาแล้วพิมพ์ชื่อผบ.ตร. เข้าไป พอกดปุ๊บมันเออเร่อร์ ก่อนหน้านั้นผมกดมันขึ้นครับ พอมันเออเร่อร์ มันมีเสียงขำของทีมงานเข้าไปในนั้น หน้าผมก็ตกใจจริง จังหวะนั้นจังหวะฟลุคมาก เป็นจังหวะทองคำเลยครับ ผมเหมือนกลับไปบ้านปุ๊บ วันนั้นกลับไปนั่งคิดได้ว่า เฮ้ย เรารู้แล้ว การรายงานข่าวในสถานีโทรทัศน์ที่ไม่ใช่สถานีข่าว เรามาสายฮาแบบที่เราเคยทำ ผสมกัน ข่าวยากๆ ย่อยง่ายๆ ถ้าการย่อยนั้นสามารถใส่องค์ประกอบเข้าไปด้วยได้ ก็จะเป็นอะไรที่ดีมาก
ส่วนวันที่ใส่วิก เป็นสัปดาห์ที่มีข่าวเกี่ยวกับการประกาศระเบียบการตัดผมของเด็กในโรงเรียน ผมเองส่วนตัว ผมว่าเด็กเดี๋ยวนี้สาวเร็ว ให้เขาไปตัดถึงติ่งหู มันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเรียน เด็กผู้ชายเป็นหนุ่มแล้ว ไปไถซะน่าเกลียดเลย ผมก็คิดว่าผมจะเสนอข่าวนี้ยังไง เพราะทุกช่องเสนอข่าวแบบนี้เหมือนกันหมด ผมก็เลยเปรียบเทียบว่าถ้าผมใส่วิกแล้วผมมานั่งรายงานข่าว เวลาคุณดูผม คุณดูข่าวหรือดูวิกที่ผมใส่ คุณภาพในการรายงานของผมไม่ได้อยู่ที่ทรงผมนะ ผมจะทรงผมอะไรก็ตาม ถ้าผมรายงานข่าวแล้วคุณเข้าใจ ผมก็ถือว่าผมประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับนักเรียน ไม่ถึงขนาดเปิดเสรีถักเดดร็อกไปเรียนนะ แต่เอาให้เท่าที่ควร ไม่น่าเกลียด เอามาเสริมให้คนติดตาม"
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |