อุทธรณ์เพิ่มโทษ 2 ป๋าเชียร์แขกคดีวิคตอเรียซีเครทคุก 62 ปี 6 เดือนชดใช้สินไหมสาวพม่า2 ราย 1.6 แสนบาท


เพิ่มเพื่อน    

19 พ.ย.62-   ที่ห้องพิจารณา 716 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีค้ามนุษย์ สถานบริการอาบอบนวด “วิคตอเรีย ซีเครท” คดีหมายเลขดำ คม.24/2561 ที่พนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายมนัส หรือป๋านัส อ่วมทับ อายุ 49 ปี และนายสมชาย หรือป๋าต้น แสงอุดม อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นพนักงานเชียร์แขก ในความผิดฐานร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณีโดยบังคับขู่เข็ญ , เป็นธุระจัดหา ชักพาไปหญิงสาวอายุ 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี เพื่อสนองความใคร่ผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 , พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 , พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 

คำฟ้องระบุว่า เมื่อเดือน ธ.ค. 2560 จนถึง 12 ม.ค. 2561 จำเลยทั้ง 9 กับพวกสมคบกัน โดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยตกลงวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไป ผู้เสียหายเป็นหญิงสาวรวม 9 ราย ทั้งคนไทยและคนเมียนมา ซึ่งอายุ 15 ปีแต่ไม่เกิน 18 ปี โดยร่วมกันให้ผู้เสียหาย ทำการค้าประเวณีที่สถานอาบอบนวด วิคตอเรีย ถนนพระรามเก้า แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง เพื่อให้ผู้เสียหาย กระทำการค้าประเวณี ยอมรับการกระทำชำเราหรือยอมรับการกระทำอื่นใดเพื่อสนองความใคร่หรือสำเร็จความใคร่ทางกามารมณ์ของผู้อื่น อันเป็นการสำส่อนประพฤติตนไม่สมควร เพื่อสินจ้างหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อที่จำเลยกับพวกจะได้แสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีของผู้เสียหายที่เป็นเด็ก แม้ผู้เสียหายยินยอมก็ตาม

ซึ่งเดิมทั้งสองถูกฟ้องร่วมกับนายศรัทธาธรรม หรือป๋าติ๊ก แจ้งฉาย อายุ 67 ปี ผู้จัดการสถานบริการอาบอบนวด กับพวกรวม 9 คน เมื่อเดือน เม.ย. 2561 แต่ชั้นพิจารณามีเฉพาะนายมนัสหรือป๋านัส และนายสมชายหรือป๋าต้น ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนนายศรัทธาธรรม หรือป๋าติ๊ก ผู้จัดการสถานบริการ กับพวกจำเลยที่เหลืออีก 7 รายให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี จึงแยกสำนวนฟ้อง

โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2561 เห็นว่านายมนัส หรือป๋านัส  และนายสมชาย หรือป๋าต้น มีความผิดฐานเป็นผู้ดูแลกิจการค้าประเวณี และเป็นธุระจัดหาฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 282 วรรคหนึ่ง วรรคสอง , 283 ทวิ วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง วรรคสอง , 11 วรรคสอง  และฐานสมคบทำผิดค้ามนุษย์แสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีฯ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6,9 วรรคหนึ่ง วรรคสอง , 52 วรรคหนึ่ง วรรคสอง จำคุก คนละ 46 ปี โดยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้ 22 ปี 12 เดือน

โดยคดีนี้ทั้งอัยการโจทก์และจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษด้วย วันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งสองมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ในข้อหาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยทั้งสอง ฐานเป็นผู้ดูแลหรือผู้จัดการกิจการสถานค้าบริการประเวณีฯ ซึ่งมีบุคคลอายุ 15 แต่ไม่เกิน18 ปี จำคุก 2 ปี 6 เดือน นั้น ความผิดในส่วนนี้คู่ความไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คดีส่วนนี้จึงถึงที่สุดแล้ว

ส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า คดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวพันคดีของนายศรัทธาธรรม แจ้งฉาย หรือป๋าติ๊ก ซึ่งเป็นผู้จัดการสถานบริการวิคตอเรียซีเครท กับพวกรวม 7 คน ที่พนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ได้ยื่นฟ้องและศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดง คม. 53/2561 (คดีหมายเลขดำ คม. 26/2561) ที่เรียกว่าเหตุลักษณะคดี (เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วมีผลถึงจำเลยคนอื่นด้วย) โดยเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดในข้อหาสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปกระทำความผิดค้ามนุษย์ด้วยการค้าประเวณี โดยลงโทษเฉพาะข้อหาเป็นธุระจัดหาบุคคลฯเพื่อสนองความใคร่และค้าประเวณี คดีของจำเลยทั้งสอง จึงต้องยกฟ้องในข้อหาดังกล่าวด้วย 

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การจะพิจารณานั้นก็ต้องดูรูปเรื่องทั้งหมด ซึ่งคดีของจำเลยทั้งสอง อัยการโจทก์ก็ได้บรรยายพฤติการณ์ฟ้องและนำสืบพยานหลักฐานจนฟังได้ว่า ร่วมกันกระทำผิดฐานโดยสมคบตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีและเป็นธุระจัดหาบุคคลฯ สนองความใคร่ผู้อื่น 

และที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้พิจารณาลงโทษสถานเบาหรือรอลงโทษนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองที่โจทก์ฟ้องนั้นได้กระทำผิดต่อบุคคลจำนวนมาก ซึ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์จากบุคคลอายุ 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี จากการค้าประเวณีอีกทั้งยังเป็นการกระทำที่อุกอาจ ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น อุทธรณ์ของอัยการโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิ่มโทษรายกระทงเป็น 2-10 ปี (จากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา กระทงละ 2-5 ปี) โดยข้อหาที่โทษหนักที่สุดคือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีและเป็นธุระจัดหา บุคคลอายุ 15 แต่ไม่เกิน 18 ปีฯ จำคุก 7 กระทงๆละ 10 ปี เป็นจำคุก 70 ปี โดยรวมกับโทษ ฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลให้ค้าประเวณีโดยขู่เข็ญฯ และข้อหาอื่นอีกหลายกระทง 

รวมจำคุกนายมนัส หรือป๋านัส และนายสมชาย หรือป๋าต้น ทั้งสิ้น 120 ปี จำเลยรับสารภาพเหลือโทษจำคุก 60 ปี โดยรวมกับที่ศาลชั้นต้นลงโทษฐานเป็นผู้ดูแลสถานค้าประเวณีฯ 2 ปี 6 เดือน เป็นจำคุก 62 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำคุกทุกกระทงแล้วให้จำคุกสูงสุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 เป็นจำคุกคนละ 50 ปี และพิพากษาให้จำเลยทั้ง 2 ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหายสองรายสัญชาติเมียนมาคนละ 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้อง 21 เม.ย. 2561 (เดินศาลชั้นต้นยกคำขอชดใช้ค่าสินไหมทดแทน) นอกจากที่แก้ให้เป็นตามศาลชั้นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาที่โทษสูงขึ้น นายมนัสถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ หน้าตาเคร่งเครียด ญาติๆ ต่างแสดงความเสียใจ หมดเรี่ยวแรง

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับ ป๋าติ๊ก ผู้จัดการสถานบริการนั้นได้ถูกยื่นฟ้อง 2 คดี ซึ่งศาลมีคำพิพากษาไปแล้วตั้งแต่ปี 2561 จำคุก 2 สำนวนเป็นเวลาทั้งสิ้น 18 ปี 16 เดือน โดยยกฟ้องในข้อหาสมคบค้ามนุษย์ฯซึ่งคดีอยู่ระหว่างอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์พร้อมกับจำเลยร่วมคนอื่นๆ

ส่วนนายกําพล วิระเทพสุภรณ์ หรือเสี่ยกำพล เจ้าของสถานบริการวิคตอเรียฯ ที่อัยการมีคำสั่งฟ้องว่าร่วมกระทำผิดด้วยนั้น ปัจจุบันยังติดตามตัวมายื่นฟ้องไม่ได้ ซึ่งคาดว่าจะหลบหนีคดีโดยพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ขอศาลออกหมายจับไว้แล้ว ซึ่งมีอายุความติดตามตัวมาฟ้องคดีภายใน 20 ปี.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"