"ประธานญาติวีรชนฯ" เตือน 4 สถาบันหลักชาติกำลังสั่นคลอน ชี้ ส.ส.ใช้เวทีสภาเล่นงานฝ่ายตรงข้าม กองทัพถลำตัวเป็นคู่ขัดแย้ง ห่วงปล่อยไว้จะสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งรอบใหม่ แนะทุกฝ่ายยึดพระราชดำรัสในหลวง รักสามัคคี นำชาติไปข้างหน้า "พปชร." ซัด "อนค." ผุดวาทกรรมอยู่ไม่เป็น หวังปลุกกระแสป้องธนาธร "สิระ" ตามบี้ "เสรีพิศุทธ์" ใช้อำนาจเกินขอบเขต "แรมโบ้" ตามซ้ำเตือนระวังจะติดคุก "เจี๊ยบ" โวยพวกป้อง "ตู่-ป้อม" ไม่ให้มาแจง กมธ.ป.ป.ช. ทำ ปชช.เสียประโยชน์ "วิปฝ่ายค้าน" ตีปี๊บซักฟอก เล็งเชือด 5 รมต. ฟุ้งข้อมูลความล้มเหลวรัฐบาลไหลมาอื้อ
เมื่อวันอาทิตย์ นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 และอดีตกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่า มีปรากฏการณ์ทางการเมืองหลายอย่างที่น่าเป็นห่วง และอาจจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและความแตกแยกของคนในชาติได้ หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ยึดหลักของการปกครองที่ต้องยึดผลประโยชน์ของสาธารณะและประเทศชาติ ก็อาจส่งผลกระทบต่อสถาบันหลักของชาติ ทำให้สังคมเกิดวิกฤติอีกครั้งได้
นายอดุลย์กล่าวว่า อยากเตือนสติในเรื่องสำคัญ คือ 1.หน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 เสาหลักของระบอบประชาธิปไตย แต่ ส.ส.บางส่วนกลับใช้เวทีของสภาผู้แทนฯเป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม สนองวาระทางการเมืองของตัวเอง การพูดหรือแสดงออกต่างๆ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนแต่อย่างใด แต่ยังโชคดีที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ที่ยึดมั่นในหลักการเป็นกัปตันคอยกำกับให้ทุกฝ่ายเดินถูกทิศทาง จึงอยากเตือนผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย ว่าอย่าทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายต่อระบบรัฐสภาอีกเลย แล้วก็ไปเรียกร้องให้ทหารมาแก้ปัญหาอีก จึงอยากให้ทุกท่านได้ใช้เวทีรัฐสภาให้เป็นที่พึ่งพาของประชาชน และเป็นเวทีหาทางออกจากความขัดแย้งให้ได้
นอกจากนี้ 2.กรณีฝ่ายบริหารโดยฝ่ายเศรษฐกิจใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "ชิมช้อปใช้" จากเฟส 1 เข้าเฟส 3 แล้ว ถือเป็นความล้มเหลวของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เป็นการแจกเงินที่เลวร้ายกว่าประชานิยมยุคทักษิณ ควรยุติทันที แล้วหันมาพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้ก้าวหน้าทันโลก ที่น่าตระหนกคือกรณีเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเวียนหนังสือข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี พิจารณาการใช้เงินกองทุนประกันสังคมกู้ยืมเพื่อการลงทุนหรือการกู้ยืมเพื่อรายจ่ายจำเป็นอื่นๆ ได้ ขอเตือนว่าอย่าแม้แต่คิด เพราะจะเกิดความเสียหายร้ายแรงกว่าที่คิด และขอให้ยึดศาสตร์พระราชาอย่างแท้จริง อย่าปากพูดอย่างแต่ทำตรงข้าม
3.กรณีตุลาการศาลปกครองสูงสุดแถลงกลับคำตัดสินใหม่ให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเข้าร่วมประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 2.7 แสนล้านบาทได้ โดยอ้างเรื่องกระบวนการตรวจรับเอกสารไม่ชัดเจน ทั้งที่เคยมีแนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด กรณีเอกชนยื่นประมูลไม่ทันเวลาถึง 5 กรณี ซึ่งศาลวินิจฉัยให้เอกชนแพ้ทั้งหมด บางกรณีประมูลช้าเพียง 39 วินาทีก็ยังไม่ได้ เทียบคดีประมูลสนามบินอู่ตะเภามาสาย 9 นาที แต่กลับทำได้ แล้วมาตรฐานระบบการจัดซื้อจัดจ้างอยู่ตรงไหน จึงหวังว่าการพิจารณาในคดีต่างๆ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับทางการเมือง จะต้องมีบรรทัดฐานชัดเจน และเมื่อวินิจฉัยออกมาแล้ว ต้องทำให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ ไม่ใช้มวลชนกดดันศาลเหมือนในอดีตอีก เพราะตุลาการเป็นที่พึ่งสุดท้าย หากพึ่งพาไม่ได้ ปัญหาจะไม่มีข้อยุติ และจะพังกันทั้งหมด
4.ความขัดแย้งของสังคมไทยในช่วงที่ผ่านมา กองทัพถูกดึงเข้ามาพัวพันด้วย จนบัดนี้ยังถอนตัวออกจากความขัดแย้งไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำตามสัญญาประชาคมที่จะสร้างความปรองดองคนในชาติ ผบ.ทบ.คนปัจจุบันในฐานะที่เป็นทหารของพระราชา ต้องไม่ถลำตัวไปเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง อย่ามองคนในชาติที่เห็นต่างทางความคิดเป็นข้าศึกศัตรู เพราะประชาชนทุกภาคส่วนคือพสกนิกรขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่าให้ใครดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาทำลายล้างกันเอง ความขัดแย้งต่างๆ ในประเทศสามารถเอาชนะได้โดยไม่ต้องรบ การใช้อำนาจไม่อาจชนะเสมอไป ดังนั้นกองทัพจะเป็นกลไกสำคัญคลี่คลายความขัดแย้งของคนในชาติได้ หากผู้นำกองทัพมีวิสัยทัศน์ รู้จักใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการแก้วิกฤติของชาติ
ห่วงเกิดขัดแย้งรอบใหม่
“สถานการณ์ของบ้านเมืองขณะนี้ยังไม่อาจวางใจได้ เพราะ 5ปี คสช.ล้มเหลวในการสร้างสมานฉันท์ปรองดองของคนในชาติ ขณะที่ปัจจุบันก็มีเหตุการณ์ทางการเมืองหลายอย่างที่อาจจะเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งใหม่ปะทุขึ้นอีก หากผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในสถาบันหลักของชาติไม่ตระหนักถึงหลักปกครองของบ้านเมือง ใช้ดุลยพินิจเพื่อสนองวาระทางการเมืองหรือผลประโยชน์ของตัวเอง ก็จะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายกว่าเดิมอีก เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรง บาดเจ็บล้มตาย แล้วก็หาคนรับผิดชอบไม่ได้ สุดท้ายผู้ที่รับเคราะห์ก็คือประชาชน จึงวิงวอนให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว ที่ให้ทุกฝ่ายรักสามัคคี ร่วมกันนำพาประเทศชาติเดินไปข้างหน้าให้ได้” ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 กล่าว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ซึ่งปฏิบัติภารกิจที่กระทรวงกลาโหมตั้งแต่ช่วงเช้า ทั้งการเข้าเยี่ยมคำนับของนายทาโร โคโนะ รมว.กลาโหมประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งให้การต้อนรับนายมาร์ค เอสเปอร์ รมว.กลาโหมสหรัฐอเมริกา ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว โดยได้ชูมือทำสัญลักษณ์ไอเลิฟยูและโบกมือทักทายสื่อมวลชนก่อนขึ้นรถกลับเท่านั้น
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) จัดงานอยู่ไม่เป็นว่า การจัดงานระดมพลต่างๆ อย่างสร้างสรรค์สามารถทำได้ แต่ขออย่างเดียวว่าอย่าปลุกม็อบลงถนนอีก เพราะบ้านเมืองมีความสงบแล้ว อย่าหวนไปสู่จุดเดิมอีก ประชาชนต้องการให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข
"การใช้คำว่าอยู่ไม่เป็น ถือเป็นเพียงวาทกรรมอย่างหนึ่งที่ต้องการปลุกกระแส เพื่อกลบผลการกระทำของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนค. ที่กำลังประสบอยู่ใช่หรือไม่ เป็นชะตากรรมของนายธนาธรที่เกิดจากผลกรรมที่ตัวเองก่อขึ้นมาใช่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้มีการนำพี่น้องประชาชนมาเป็นเกราะป้องกัน" นายธนกรกล่าว
โฆษกพรรค พปชร.กล่าวว่า สังคมไทยเป็นประเทศแห่งรอยยิ้ม ประชาชนชอบให้เมืองสงบ ไม่อยากให้การเมืองสร้างความขัดแย้งในสังคมอีก วันนี้ประชาชนมีความสุข บ้านเมืองสงบ รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย อย่าพยายามบิดเบือนโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์รักประเทศ รักประชาชน พรรคการเมืองเมื่อผ่านการเลือกตั้งมาแล้วมีปัญหาอะไรก็นำเข้าสู่กลไกรัฐสภา แต่พรรค อนค.ก็ไม่ยอมเดินไปข้างหน้า จมปลักอยู่กับอดีตมากเกินไป
"อยากให้หันมาร่วมกันพัฒนาประเทศตามระบอบประชาธิปไตย บางสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ทำมันสวนทางกับความเป็นไปของสังคมไทย วันนี้หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องพี่น้องคนไทยตาสว่างแล้ว" โฆษกพรรค พปชร.กล่าว
ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวว่า ภาพรวมงานอยู่ไม่เป็นในวันเสาร์ที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมาถือว่าน่าพอใจอย่างมาก ทั้งในแง่ของจำนวนคนที่มาร่วมงาน รวมทั้งคนที่ติดตามเราผ่านสื่อออนไลน์ อย่างเฟซบุ๊กไลฟ์
"คนที่มาร่วมงานประมาณ 2,000 คน ซึ่งเต็มความจุของฮอลล์ ก็แสดงให้เห็นว่าประชาชนเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสารไปยังสังคม และเห็นด้วยกับเราว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงได้หากเราอยู่ไม่เป็น นี่คือใจความสำคัญที่เราจะสื่อสารไปยังประชาชน" น.ส.พรรณิการ์กล่าว
โฆษกพรรค อนค.กล่าวว่า ช่วงนี้ทางพรรคจะยังไม่มีการจัดกิจกรรมใหญ่ๆ ลักษณะนี้ในเร็วๆ นี้ เพราะเรามีความตั้งใจว่าจะพยายามจัดงานแบบนี้ไตรมาสละ 1 ครั้ง ซึ่งงานแบบนี้ต้องใช้ทั้งเงินและกำลังคนค่อนข้างมาก จึงไม่สามารถจัดกิจกรรมลักษณะนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
'สิระ'ตามซัด'เสรีพิศุทธ์'
มีรายงานว่า ในวันจันทร์ที่ 18 พ.ย. พรรค อนค.เตรียมจัดงานแถลงข่าวโดยมีประเด็นน่าสนใจ อาทิ ทางพรรคเตรียมจะฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการคดีหุ้นสื่อ ต่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค รวมทั้งการเปิดตู้ ปณ.และเมล รับแจ้งเบาะแสคดีทุจริต คอร์รัปชัน เพื่อเป็นข้อมูลในการเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจอีกด้วย
วันเดียวกัน นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นประธาน ใช้อำนาจ รธน.และ พ.ร.บ.คำสั่งเรียก เชิญพล.อ.ประยุทธ์มาชี้แจงปมถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ และไม่มีอำนาจเสนอ กม.งบประมาณ ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์มีพฤติกรรมใช้อำนาจเกินขอบเขต ซึ่งไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากว่าในวันประชุม กมธ. เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา มีมติที่ประชุม 6 ต่อ 3 เห็นด้วยที่จะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์มาชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงต่อคณะกมธ.อีกครั้ง แต่ไม่ได้มีมติเห็นด้วยที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 129 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ประกอบมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554
“พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ลงนามในหนังสือเชิญโดยไม่ผ่านมติของที่ประชุม นั่นหมายความว่าผู้ลงนามต้องรับผิดชอบเรื่องที่กับหนังสือฉบับดังกล่าว การกระทำที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ผมไม่ไว้วางใจที่จะให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธาน กมธ.ชุดนี้อีกแล้ว ผมอยากให้สังคมดูพฤติกรรมและการกระทำของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ว่ากำลังใช้หัวโขนประธาน กมธ.มาเป็นเครื่องมือในเรื่องความแค้นส่วนตัวหรือไม่” นายสิระกล่าว
ส.ส.พรรค พปชร.รายนี้ระบุว่า ในฐานะที่ตนเป็น กมธ.ในชุดนี้ด้วยขอฝากไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าไม่ต้องสนใจจดหมายเรียกเชิญดังกล่าว เพราะมั่นใจว่าหนังสือเรียกฉบับนี้ผิดกฎหมายแน่นอน เพราะการจะออกหนังสืออะไรก็ตามในชั้นกรรมาธิการ ต้องผ่านมติที่ประชุมกรรมาธิการในทุกเรื่อง ไม่ใช่เอาความคิดของผู้ที่เป็นประธานมายัดใส่ว่ากรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย
"ผมขอท้าให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ถอดเทปบันทึกการประชุมในวันดังกล่าว และนำมาเปิดเผย เพื่อพิสูจน์ว่ามีการขอมติที่ประชุมที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 129 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 หรือไม่ หาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กระทำเกินขอบเขตไม่ตรงกับเทปบันทึกการประชุมในวันนั้น ผมขอให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ลาออกจากการเป็นประธานด้วยตนเอง ก่อนที่จะถูกมติที่ประชุมปลด" ส.ส.พรรค พปชร.รายนี้ระบุ
ถามถึงกรณีการเสนอปลด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ นายสิระกล่าวว่า ตนมั่นใจว่าเสียงส่วนใหญ่ในกรรมาธิการต้องการให้มีการเปลี่ยนตัวประธาน ขอให้ติดตามดูในวันพุธที่ 20 พ.ย.นี้ ตนจะเป็นคนเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าว
เช่นเดียวกับ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ดำเนินการเป็นการเล่นแบบมีอคติ เป็นการอาฆาตส่วนตัว จะโดยเหตุและผลอะไรเราก็ไม่ทราบ ว่าทำไมถึงพยายามที่จะดิสเครดิตหรือว่าจ้องทำลาย พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งการเรียกไปชี้แจงเป็นการเรียกบ่อยครั้ง และเรียกในลักษณะต้องการเอาเรื่องข้อมูลเก่าๆ ที่เป็นข้อมูลที่ทุกคนและสังคมก็ได้รับคำตอบทราบอยู่แล้ว
นายสุภรณ์กล่าวว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร ได้ส่ง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม และนายประสาร หวังรัตนะปราณี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนไปชี้แจงพร้อมเอกสารเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอม และยังพยายามที่จะเอานายกรัฐมนตรีกับรองนายกรัฐมนตรีไปให้ได้ เราเห็นว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เล่นการเมืองแบบไม่จริงใจ และไม่มีเจตนารมณ์ในการที่จะทำงานเพื่อประโยชน์อย่างแท้จริง และต้องการที่จะเป็นความอาฆาตแค้น เป็นการเอาอคติส่วนตัวมาเล่นการเมือง
"สิ่งที่กำลังทำอยู่ขณะนี้มี ส.ส.ไพบูลย์ นิติตะวัน ไปยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องการเรียกมาในลักษณะเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่อย่างไร ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินมีความเห็นรับเรื่องและส่งศาลรัฐธรรมนูญได้รับนำไปดำเนินการที่จะวินิจฉัยว่า สิ่งที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์นั้นได้ทำถูกต้องหรือไม่ อย่างไร ผมเป็นห่วงในที่สุด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อาจจะมีโอกาสที่จะทำผิดกฎหมายและติดคุกได้ตามที่ ส.ส.ไพบูลย์ให้สัมภาษณ์ไว้" กรรมการผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าว
เล็งเปิดซักฟอก 5 รมต.
อย่างไรก็ตาม ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า น่าแปลกใจที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลสรรหาวิธีการต่างๆ นานา เพื่อลดอำนาจคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรในการตรวจสอบฝ่ายบริหาร โดยลงทุนถึงขนาดจะยกเลิกกฎหมายที่ให้อำนาจคณะกรรมาธิการในการออกคำสั่งเรียกบุคคลมาชี้แจงคือ พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการฯ โดยส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งยังทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ยับยั้งการเชิญพล.อ.ประยุทธ์มาพบคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.ที่สภา ทั้งๆ ที่นั่นเป็นการทำลายกลไกการถ่วงดุลตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎรเสียเอง ซึ่งหาก ส.ส.ซีกรัฐบาลเป็นฝ่ายชนะโดยทำลายอำนาจตรวจสอบของคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.ได้สำเร็จ ก็อยากถามว่าประชาชนจะได้อะไรจากเรื่องนี้
"สุดท้ายผู้ที่เสียประโยชน์ก็คือประชาชน เนื่องจากคณะกรรมาธิการต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของชาวบ้านในการถ่วงดุลอำนาจกับรัฐบาล จะหมดน้ำยาในการตรวจสอบผู้มีอำนาจทันที แต่คนที่ได้ประโยชน์จะมีเพียงคนเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะมีข้ออ้างไม่ต้องมาชี้แจงที่สภา ดังนั้นถ้าสภาถึงกับยอมยกเลิกอำนาจของตัวเองในการออกคำสั่งเรียกบุคคลมาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ หรือลงทุนแก้ไขหรือบิดเบือนข้อบังคับการประชุมต่างๆ เพียงเพื่อช่วยเหลือคนคนเดียว บรรดา ส.ส.ทั้งหลายก็ไม่สมควรเรียกตัวเองว่าเป็นผู้แทนราษฎรอีกต่อไป แต่ควรเปลี่ยนตำแหน่งเป็นผู้แทนของลุงตู่" ร.ท.หญิงสุณิสากล่าว
ในส่วนนายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า 7 พรรคฝ่ายค้านได้จูนความคิด ทิศทาง และทีมในการอภิปรายตรงกันแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ทุกคนกำลังกลั่นกรองข้อมูล และหาเนื้อหาเพิ่มเติมบ้างในบางกรณี โดยมีการประชุมเต็มรูปแบบทุกสัปดาห์ และไม่เต็มรูปแบบเฉพาะบุคคลเกือบทุกวัน ซึ่งมีกรณีใหม่ๆ และข้อมูลใหม่เข้ามาเรื่อยๆ จากประชาชนและผู้หวังดีส่งมาให้โดยตลอด
"เบื้องต้นมีผู้แสดงความจำนงจะอภิปรายประมาณ 15 คน แต่จะคัดให้เหลือเท่าที่จำเป็นไม่เกิน 10 คน ซึ่งการอภิปรายจะยื่นรัฐมนตรีไม่น้อยกว่า 5 คน โดยหนึ่งในนั้นคือนายกฯ เนื้อหาเกี่ยวกับความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหาร เช่น เรื่องเศรษฐกิจ ด้านการเมือง ด้านสังคม การปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต ที่เหลือขออุบไว้ก่อน ส่วนจะยื่นอภิปรายเป็นคณะหรือรายบุคคลก็จะรอถึงนาทีสุดท้ายก่อนเขียนญัตติถึงจะสรุปอีกครั้ง และการเขียนญัตติจะเสร็จในสิ้นเดือน พ.ย. และจะยื่นไม่เกินวันที่ 5 ธ.ค. เพื่อให้การอภิปรายเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนไปหาปลายเดือน" นายสุทินกล่าว
ถามว่า ผู้อภิปราย 10 คนที่ว่าเป็นใครบ้าง ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าวว่า เป็น ส.ส.ที่มาจากเกือบทุกพรรค อาทิ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์, ตน, นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ซึ่งคนเหล่านี้ถือเป็นขุนพลของพรรคฝ่ายค้านที่มีประสบการณ์ในสภา สามารถชี้ข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก เพราะรัฐบาลเขามีเสียงมากกว่า
"การอภิปรายครั้งนี้จะเป็นการเปิดแผลให้ประชาชนได้เห็นและจะไปเน่าข้างนอก และท้ายที่สุดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแน่นอน ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่ อยู่ที่ประชาชน แต่ตนคิดว่าคงใช้เวลาไม่นาน" ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าว
ถามว่า นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ (โหร คมช.) บอกรัฐบาลอยู่ได้ยาว นายสุทินกล่าวว่า โหรแต่ละคนเขาก็พูดไม่เหมือนกัน นายโสรัสจะ นวลอยู่ โหรชื่อดังก็บอกว่าเริ่มต้นปี 63 จะเกิดปัญหาขึ้นกับรัฐบาลถึงขั้นลุกเป็นไฟ ดังนั้นส่วนตัวไม่ได้เชื่อโหรเพียงอย่างเดียว แค่ฟังๆ ไว้ แต่เราต้องดูกันที่ความเป็นจริงดีกว่า ซึ่งส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลนี้คงอยู่ไม่นาน เพราะมีความเสื่อมมันมีตั้งแต่ต้นและพัฒนามาเป็นลำดับ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 7 ขอนแก่น ว่าถ้า กกต.สามารถบริหารจัดการเลือกตั้งให้สุจริตและเที่ยงธรรม แข่งขันกันอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ตรงไปตรงมา เจ้าหน้าที่รัฐวางตัวเป็นกลาง ไม่มีการใช้กลไกอำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซง ไม่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับผลการเลือกตั้งที่ดี.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |