17 พ.ย.2562 น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเสวนาในเวที อยู่ เย็น เป็น สุข ของสถาบันทิศทางไทย โดยระบุว่า ส่วนตัว ชอบ คำว่าอยู่เย็น เป็นสุข ซึ่งไม่ใช่การอยู่เป็น หรือ อยู่ไม่เป็น แต่คือการอยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็น เป็นสุข เพราะการที่เราจะคิดโดยเอาอัตตาตัวเองเป็นที่ตั้ง คงไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่าง อยู่เย็นเป็น สุขได้ ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าสังคงของเรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและ การเข้ามาของเทคโนโลยี ดังนั้นการรับข้อมูลข่าวสารของคนแต่ละช่วงอายุในปัจจุบันจึงแตกต่างกัน ที่สำคัญการเข้ามาของอินเตอร์เน็ต เป็นการเกิดขึ้นของข้อมูลข่าวสารที่มากที่สุด และด้วยข้อมูลที่เยอะเราจึงเลือกเสพข้อมูลข่าวสารในสิ่งที่เราชอบ อยู่กับสังคมที่เราอยู่แล้วสบายใจ และคิดว่านั่นคือความถูกต้อง ดีงาม และคือความจริง
จึงเป็นสิ่งที่เราคงต้องมาตั้งคำถาม ว่าบนความแตกต่างของอายุ ทัศนคติ และบริบทของสังคม เราจะหาจุดลงตัวอย่างไร เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข และเราจะร่วมกันพัฒนาประเทศชาติอย่างไร ไม่ใช่ผลักไสคนอื่น เช่น คนรุ่นใหม่ออกมารณรงค์การลดใช้ถุงพลาสติก แต่บนโลกออนไลน์เกิดคำพูดในลักษณะบูลลี่เกิดขึ้น ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย แสดงให้เห็นว่า เรามีข้อยกเว้นให้กับตัวเองเสมอ เหมือนกับเราออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่พอคนที่คิดต่างกลับถูกตราหน้าว่าผิด แปลกแยก และใช้คำว่าเผด็จการ ทั้งที่ความหมายของประชาธิปไตยคือเคารพความเห็นที่แตกต่าง ถ้าเราคิดและมีจุดมุ่งหมายคือทำให้ประเทศก้าวหน้า เกิด ความสงบสุขในไทย เราก็จะสามารถหาจุดลงตัวได้ ไม่ใช่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยแต่มองคนคิดต่างคือผิด คนเห็นต่าง แล้วแบ่งแยกสังคม ว่า อยู่เป็น อยู่ไม่เป็น หากคิดแบบนี้คงไม่มีวันที่ประเทศจะเดินไปข้างหน้าได้
น.ส.วทันยา กล่าวด้วยว่า การตีตราคนอื่นไปแล้ว ในขณะที่เราเองมักมีข้อยกเว้นให้ตัวเองเสมอนั้น ด้วยความคิดที่อยู่ในสังคมที่เราสบายใจ และคิดว่าถูกแล้วสิ่งนี้มันกำลังก่อให้เกิดความคิดที่บิดเบี้ยวและอคติไม่รู้ตัว และจะกลับมาทำร้ายตัวเราและประเทศเราเอง เหมือนที่ฮ่องกง ด้วยการต่อสู้ทางความคิดของตัวเองไม่ลดละซึ่งกันและกันเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ สุดท้ายประเทศก็พัง จึงขอตั้งคำถามทางสังคมว่า วันนี้ประเทศเผชิญปัญหามากมาย และยังถูกกระหน่ำด้วยความคิดอุดมการณ์ จึงควรถามว่าอะไรที่เราจะอยู่ร่วมกันเพื่อให้ประเทศไปข้างหน้าโดยไม่ตีตราว่าใครผิด ใครถูก
น.ส.วทันยา กล่าวด้วยว่า เคยมีเพื่อน ส.ส.ถามถึงการมาทำงานร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ทั้งที่เป็นคนรุ่นใหม่ ตนจึงชี้แจงว่า เหตุผลที่ตัดสินใจมาเพราะ พรรคมีคนทั้งรุ่นที่มีประสบการณ์ มีเพื่อนในวัยใกล้เคียงกัน และ ตอนที่ตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางการเมือง เพราะตอนเด็กๆผ่านเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองมา 2-3 เหตุการณ์ และอยากเห็นประเทศเดินหน้า ไม่อยากเห็นความขัดแย้ง ซึ่ง พปชร.เป็นหนึ่งพรรคที่เห็นถึงการสลายขั้ว นำพาประเทศไปข้างหน้า ก้าวไปสู่การพัฒนา ดังนั้น เราจะทำอย่างไรไม่ให้ประเทศไปสู่วังวนความขัดแย้ง ส่วนตัวเชื่อเสมอว่า ถ้าคุณรักประเทศ คิดถึงส่วนรวมก่อนคิดถึงตัวคุณเอง คุณจะไม่ทำให้ประเทศกลับไปสู่วังวนขัดแย้งแน่นอน เพราะหากนำประชาชนลงสู่ท้องถนนอีกครั้ง คนที่เดือดร้อนมากที่สุด คือ ประชาชน และประเทศที่จะพัง เศรษฐกิจพัง หายนะของประเทศกลับมาอย่างแน่นอนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ และจากการลงพื้นที่ก็เห็นอยู่เสมอว่า ชาวบ้านไม่ได้มาถกเพื่อต่อสู้ทางความคิด หรือระบอบการปกครอง แต่วันนี้ประชาชนต้องการมีข้าว มีอาหาร ในการดำรงชีวิต อยากได้ผู้นำที่ดีที่จะมาปกครอง ไม่โกงกินประเทศชาติ จิตใจดี เอื้อเฝื้อเพื่อแผ่ คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ประชาขนส่วนใหญ่ต้องการ
"ในการที่สังคมกำลังเดินหน้าและเปลี่ยนแปลงไปเราอาจมีความคิดขบฎได้ หากนำมาใช้เป็นไฟปลุกความหวัง ขับเคลื่อนการทำงานของเรา แต่หากเอามายุยงปลุกปั่นภายในประเทศ สิ่งที่เสียหายที่สุดคือ คนไทย และประเทศไทย"
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |