สมคิดโต้เดือด ปัดศก.ฟองสบู่ รับแค่'ซบเซา'


เพิ่มเพื่อน    

       “สมคิด” ฉุนเสนอข่าววิกฤติฟองสบู่ แต่ยอมรับซบเซาจากภาวะเศรษฐกิจโลก สั่งขุนคลังหามาตรการกระตุ้นในปี 2563 สะพัด! ลุงตู่เปลี่ยนลายเซ็นหวังอยู่ยาว โฆษกฯ มึนแค่รีบก็ถูกไปตีความ ฝ่ายค้านพาเหรดขย้ำถึงขั้นแนะต่อสาย "แม้ว" ขอคำปรึกษา
       เมื่อวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีการไปนำเสนอรายงานเรื่องความเสี่ยงระดับภูมิภาคในการประกอบธุรกิจที่จัดทำโดยสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งระบุความเสี่ยงในการทำธุรกิจในไทย 5 อันดับแรก คือ 1.เศรษฐกิจฟองสบู่ 2.ความล้มเหลวของรัฐบาล 3.การโจมตีทางไซเบอร์ 4.ภัยพิบัติทางธรรมชาติและโดยมนุษย์ และ 5.ความไม่มั่นคงทางสังคม ว่าเป็นการเสนอคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง บิดเบือน โดยยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยซบเซา แต่ก็ไม่ใช่ภาวะฟองสบู่แตกหรือวิกฤติเศรษฐกิจ
       “การประเมินความเสี่ยง 5 อันดับแรกของไทย เป็นเพียงการประเมินจากภาคเอกชนที่มองความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นใน 10 ปีข้างหน้าของรายงานความเสี่ยงระดับภูมิภาคในการประกอบธุรกิจ ซึ่งปัจจัยทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะที่ปัญหาเรื่องความล้มเหลวของรัฐบาล ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องธรรมาภิบาล แต่เป็นการแปลความหมายผิด” นายสมคิดกล่าว
       นายสมคิดกล่าวต่อว่า ได้เรียกประชุมผู้บริหารกระทรวงการคลังเพื่อติดตามภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจไทยขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีจากเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดี จึงสั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเตรียมมาตรการกระตุ้นในปี 2563 ไว้รองรับ ในกรณีเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมา ที่หวังพึ่งการส่งออกไม่ได้มาก แต่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการบริโภคตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค.2562 ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น เป็นผลมาตรการชิมช้อปใช้ ซึ่งผลของมาตรการจะยังไม่ส่งผลให้เห็นในไตรมาส 3/2562 รวมทั้งยังมี 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านดิจิทัลระดับโลก คือไมโครซอฟท์และอเมซอนแสดงความจำนงลงทุนในไทย ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี
       “อยากให้ระวังการเสนอข่าวและการให้ข่าวของบางที่ เพราะมีความเปราะบาง และบางเรื่องเป็นสิ่งที่กระทบความเชื่อมั่น ทั้งการบริโภคและการลงทุน เราอาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจภายนอก ก็ต้องช่วยกันฟันฝ่า แต่พอมาเจอแบบนี้ความเชื่อมั่นก็จะไม่ดีขึ้น และที่ทำงานมาจะได้อะไร และตอนนี้ต่างชาติสนใจมาลงทุนไทย หากนำเสนอข่าวแบบนี้ ฝรั่งถอดใจไปจะทำอย่างไร” นายสมคิดกล่าว
       ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวในรายการ Government weekly ผ่านเพจเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้าในประเด็น Startup Thailand ตอนหนึ่งว่า เราต้องเร่งรัดการเจริญเติบโตให้เป็นแบบก้าวกระโดด ต้องกระโจน ทะยานออกไปสู่โลกภายนอก ซึ่งสิ่งสำคัญคือการสร้างนวัตกรรมที่ต้องลงทุนทั้งสติ สมอง ในการขับเคลื่อนธุรกิจประเภทนี้ออกมา ซึ่งสตาร์ทอัพคือธุรกิจที่เริ่มต้น ซึ่งรัฐบาลดำเนินการเรื่องเหล่านี้มา 3 ปี โดยในปี 2561 เพิ่มมาถึง 1,500 ราย และมีอีก 8,500 รายกำลังรอจดทะเบียน หากจดทะเบียนได้ทั้งหมดจะเริ่มสร้างงานได้อีก 15,000 อัตรา และจะมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้มีเงินลงทุนจากรัฐและเอกชนรวมมูลค่า 35,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนเรื่องการขจัดอุปสรรค เพื่อให้นักลงทุนสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีเดินไปด้วยกัน
       ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊กของ น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร ได้โพสต์ข้อความถึงการเปลี่ยนลายเซ็นของ พล.อ.ประยุทธ์เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งนาน ซึ่งมีการส่งต่อและวิจารณ์กันอย่างมาก ทำให้นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ อธิบายว่า นายกฯ ไม่ได้เปลี่ยนลายเซ็น เพียงแต่งานมันเยอะ บางครั้งรีบก็มีเซ็นตวัดบ้าง ซึ่งนายกฯ ไม่ได้ตั้งใจเปลี่ยน เพราะทุกอย่างอยู่ที่การทำกรรมดี และก็แปลกใจกับข่าวที่เกิดขึ้น
       ส่วนนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์อยากอยู่ยาว แต่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ ประชาชนไม่มีความหวังด้านเศรษฐกิจ คนกลัวปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง ปีต่อไปลอยอังคาร ถ้า พล.อ.ประยุทธ์มีความรู้ความสามารถในระดับออกไอเดียให้นำวัวไปไว้ที่โรงเรียน แล้วรีดนมวัวให้เด็กทานเลยได้ ต่อให้เปลี่ยนลายเซ็นอีก 10 รอบก็ไม่ช่วยอะไร เพราะปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจควรให้คนมีความรู้ความเข้าใจเข้ามาแก้ไข
       น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ (พช.) กล่าวเช่นกันว่า ใครก็ตามที่อยากเป็นผู้บริหารประเทศที่ดี ต้องรอบรู้วิธีการแก้ปัญหา มีมุมมองต่อปัญหาที่พบอย่างมีประสบการณ์และข้อมูลที่รู้รอบ การแก้ปัญหาที่ดีคือเป็นการมองต่างมุมที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ ไม่ใช่แค่สร้างวาทะแก้ตัว หรือกำหนดกติกาเพื่อรักษาอำนาจตนเองให้อยู่ทำร้ายประเทศไปนานๆ เช่นวิถีเผด็จการทั่วโลก ซึ่งปรารถนาดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อยากให้มีจุดจบชะตาชีวิต เช่น ผู้นำเผด็จการหลายๆ คน การหลีกเลี่ยงชะตากรรมไม่ใช่การเปลี่ยนลายเซ็นตามหมอดู 
       "ตอนนี้อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่างคุณสมคิดยังออกมายอมรับว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่แก้ตัวโดยโทษเศรษฐกิจโลก สัญญาณขาลงของคุณประยุทธ์มาแบบนี้ ถ้าคุณประยุทธ์เสพติดอำนาจอยากอยู่นานๆ ขอแนะนำให้คุณประยุทธ์โทร.ไปขอวิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจ วิธีหาเงินเข้าประเทศจากอดีตนายกฯ ทักษิณ จะได้ไม่ต้องไปเอาเงินออมของประชาชนอย่างเงินประกันสังคมมาใช้ คุณประยุทธ์จะได้นั่งทับตำแหน่งนายกฯ ได้นานสมใจ” น.ส.เกศปรียาระบุ
       ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ปรับคณะรัฐมนตรีหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยให้นำนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ มาเป็น รมว.การคลัง แทนนายอุตตม สาวนายน ว่าแค่กระบวนการทางความคิดก็ผิดแล้ว แสดงออกถึงสมองของนายมงคลกิตติ์ที่ไม่มีรอยหยักเลย เพราะไม่มีรัฐบาลไหนเอา ส.ส.ฝ่ายค้านมาเป็นรัฐมนตรี ที่สำคัญนายอุตตมเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ เป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง มีผลงานชัดเจน และเป็นถึงหัวหน้าพรรค พปชร. และที่ผ่านมานายอุตตมมีความมุ่งมั่นและตั้งใจทำงานอย่างมาก หลายโครงการได้รับความชื่นชมจากประชาชนทั่วประเทศ เช่น โครงการชิมช้อปใช้ และโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดังนั้น นายอุตตมถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล
       “รู้สึกผิดหวังกับพฤติกรรมของนายมงคลกิตติ์ ที่นับวันก็ยิ่งเปลี่ยนไปอย่างมาก ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ วันๆ ทำแต่เรื่องไร้สาระ หวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้เป็นข่าวรายวัน นายมงคลกิตติ์เป็นน้องที่รักกัน จึงอยากให้กลับตัวกลับใจใหม่ สังคมยังให้อภัย กลับมาเป็นนายมงคลกิตติ์คนเดิมที่ทำงานรับใช้สังคม ตรวจสอบความไม่ถูกต้องเหมือนในอดีตก่อนได้เป็น ส.ส.จะดีกว่า เพราะหากเป็น ส.ส.แล้วมีพฤติกรรมแบบนี้ สู้อย่าเป็นซะดีกว่า” นายธนกรระบุ. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"