15พ.ย.62-เมื่อเวลา 10.00 น.ที่พรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เปิดแถลงข่าวเพื่ออ่านคำแถลงปิดคดีความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลงหรือไม่ จากกรณีการถือหุ้นบริษัทวี-ลัคมีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นเอกสารคำแถลงปิดคดีที่ได้ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้วเมื่อวานนี้ (14 พ.ย.) ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 20 พ.ย. นี้ โดยสาระสำคัญของการแถลงข่าวของนายธนาธร มี 4 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 : บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัดเป็นสื่อหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า การถือหุ้นที่เป็นประเด็นขึ้นมาเริ่มต้นที่สกลนคร ภายหลังกกต.ส่งเรื่องไปศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งให้วินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นผู้สมัคร ส.ส.สกลกนคร ของพรรคอนาคตใหม่ โดยคดีนั้นศาลฎีกาพิจารณาที่หนังสือบริคณห์สนธิเป็นหลักว่ากิจการใดเป็นกิจการสื่อมวลชน ถ้ามีวัตถุประสงค์ทำเกี่ยวกับกิจการสื่อมวลชนถือว่าผิดตัดสิทธิทันที แต่ในคดีอื่นทำนองเดียวกัน เช่น คดีการถือหุ้นสื่อของ ส.ส. ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเห็นต่างจากศาลฎีกาโดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเพียงหนังสือบริคนธ์สนธิกับสําเนาบัญชีรายชื่อไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัยว่าถือหุ้นสื่อหรือไม่ ต้องดูเอกสารอื่นประกอบด้วย เช่น ต้องดูงบการเงินว่าของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่ถูกร้องมีรายได้จากการประกอบกิจการใด จึงตัดสินได้ว่าถือหุ้นในสื่อหรือไม่
สำหรับบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ได้ผลิตนิตยสาร WHO ฉบับสุดท้ายเดือนต.ค.2559 โดยเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ส่วนหนังสือจิ๊บๆ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เป็นแค่ผู้ผลิต โดยผู้เป็นเจ้าของหนังสือดังกล่าวคือบริษัทนกแอร์ ส่วนหนังสือ Wealth บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เป็นผู้ผลิต แต่ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นเจ้าของ และปิดกิจการตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. 2561 และยุติการดำเนินการและไม่มีพนักงานและบริษัทไม่มีรายได้ตั้งแต่ 26 พ.ย.2561 ดังนั้น บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ยุติกิจการไปแล้วและไม่มีผลิตภัณฑ์แล้ว อย่างนี้จะเป็นสื่อมวลชนได้อย่างไร เพราะเป็นบริษัทที่ไม่มีการปฏิบัติการใดๆ แต่เป็นบริษัทที่รอการชำระบัญชีเท่านั้น
2.ธนาธรยังเป็นผู้ถือหุ้นหรือไม่ ในคำร้องของ กกต.ระบุว่า ตนเองยังเป็นผู้ถือหุ้น 21 มี.ค.2562 โดยอ้างอิงเอกสารสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือ แบบ บอจ.5 ที่บริษัทที่ได้แจ้งไว้กับกระทรวงพาณิชย์ แต่การจะดูว่าการเปลี่ยนแปลงหุ้นสำเร็จหรือไม่ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 และ 1141 ดังนั้น ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นอื่นหรือมีน้ำหนักพอ ต้องถือว่าธุรกรรมโอนหุ้นสำเร็จตั้งแต่วันที่มีการทำธุรกรรมไปแล้ว คือ 8 ม.ค.2562
3.การถือหุ้นผิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 98 (3) เริ่มมีตั้งแต่รัฐธรรมนูญ2550 โดยรายงานการพิจารณาของสภาร่างรัฐธรรมนูญในเวลานั้นมีการอภิปรายว่ามาตรานี้มีขึ้นเพราะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้เข้าแทรกแซงสื่อทางตรงและอ้อม และการที่ไปเป็นเจ้าของสื่อทำให้กลไกการตรวจสอบพิการ และที่สำคัญไปกระทบเสรีภาพของประชาชน
นายธนาธร กล่าวว่า ในประเด็นนี้อยากจะชี้ให้เห็นว่านิตยสารที่ผลิตโดยบริษัวี-ลัค ไม่เคยให้คุณให้โทษในทางการเมืองแม้แต่นิดเดียว นอกจากนี้ วันที่นิตยสารได้ปิดตัวลงและไม่มีรายได้แล้ว เกิดขึ้นก่อนที่จะมีใครรู้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด โดยพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งพ.ศ.2562 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2562 แต่บริษัทปิดไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นตนเองไม่มีเจตนาจะคงบริษัทอยู่ และบริษัทได้ปิดกิจการก่อนจะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งด้วยซ้ำ
4.กระบวนการพิจารณาคดีเป็นธรรมหรือไม่ ประเด็นนี้ คณะกรรมการสืบสวนของ กกต.กำลังดำเนินการและเรียกพยานมาในวันที่ 22 พ.ค. 2562 แต่ปรากฎว่ากกต.ชุดใหญ่ได้ส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 16 พ.ค.2562 ทั้งที่คณะกรรมการสอบสวน กกต. ยังพิจารณาไม่เสร็จสิ้น กระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลชั้นเดียว แค่เรื่องนี้ก็มีน้ำหนักพอให้ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องแล้ว
นายธนาธร กล่าวอีกว่า จากทั้ง 4 ข้อถ้าถามว่าตนเองผิดอะไร คำตอบ คือ มันไม่ใช่เรื่องการถือหุ้นสื่อ แต่ความผิดของตนเอง คือ การต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช. ตนเองฝันเห็นว่าทุกคนเท่าเทียมกันมีนิติรัฐนิติธรรม ฝันเห็นประเทศไทยที่มีความก้าวหน้า และประเทศไทยที่ไม่มีรัฐประหาร ความฝันเช่นนี้มันเป็นผิดบาปมากนักหรือในประเทศนี้
"เพื่อให้ได้ความฝันนี้เราจึงตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อมาต่อสู้เรียกร้องความฝันของเราตามระบบ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งตามกฎหมาย ฝันอะไรก็บอกประชาชนอย่างนั้น เมื่อเสร็จสิ้นการเลือกตั้งและผลการเลือกตั้งออกมา เราก็ทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เราสู้ในสภาอย่างภาคภูมิใจ เพื่อให้ประชาชนเห็นถึงความตั้งใจของพรรคในการต่อสู้ในสภา เราต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็รณรงค์อย่างสันติ การตั้งพรรคการเมืองเพื่อสร้างความฝันของเราให้เป็นจริง มันเป็นความผิดบาปมากขนาดนั้นเลยเหรอในประเทศนี้"นายธนาธร กล่าว
ช่วงท้ายของคำแถลงปิดคดี ได้กล่าวอีกว่า "ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีอายุเกิน 70 ปีหลายคนผ่านเหตุการณ์รัฐประหารมาแล้วหลายครั้ง ผมเกิดปี 2521 ผ่านเหตุการณ์รัฐประหาร 4 ครั้ง เราจะอยู่ในสังคมอย่างนี้ต่อไปเหรอครับ ตอนนี้เป็นเวลาที่ควรจะมาทบทวนประวัติศาสตร์ว่าเกิดอะไรมาบ้างในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา บุคคลต่างๆมีส่วนทำให้สังคมเดินมาถึงจุดนี้ ถึงเวลาที่เราต้องส่งเสียงกันและพาสังคมออกจากจุดนี้ วันนี้สังคมมีความแตกต่างทางความคิดสองส่วน ระหว่าง การพาประเทศเดินหน้าไปด้วยประชาธิปไตย กับ การพาประเทศเดินหน้าไปด้วยระบบอำนาจนินิยม คนที่จะตัดสินได้ดีที่สุดควรจะเป็นประชาชนผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพในการเลือกอนาคตของประเทศไทยด้วยตัวเอง" นายธนาธร กล่าว
ส่วนผลการตัดสินในวันที่ 20 พ.ย.จะออกมาเป็นอย่างไร นั้น นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็พร้อมยอมรับ และไม่มีแผนสำรองใดๆ การลงเล่นการเมืองของตนเองถือว่าไม่มีจุดที่จะกลับตัวแล้ว ที่ผ่านมาตนยอมเล่นตามกติกามาโดยตลอดทั้งรณรงค์หาเสียง การเลือกตั้ง หากจะแพ้ก็ขอแพ้ตามกติกา พร้อมย้ำว่าคดีนี้ไม่เกี่ยวกับการยุบพรรค เพราะเป็นเรื่องของตนเองคนเดียว ส่วนคนที่กำลังโยงไปสู่การยุบพรรคหมายความว่าไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |